ปัญหาการเก็บภาษีตอบโต้ จาก ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่เรียกเก็บภาษีจากไทยในอัตรา 36% มีผลวันที่ 1 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป ยังคงเป็นประเด็นปัญหาใหญ่
ล่าสุด…“ทีมไทยแลนด์” จะนำรายละเอียดทั้งหมดไปหารือกับบรรดา “ทีมที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่บ้านพิษณุโลก ในช่วงเช้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ด้วยว่า…“ส.ท.ร.” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” อาจเข้าไปร่วมด้วยช่วยกัน

ที่ผ่านมา ในงานเอ็กซ์คลูซีฟทอล์ก “ทักษิณ” ได้พูดไว้ชัดเจนว่า ในสุดสัปดาห์นี้ ต้องมานั่งดูในรายละเอียดเรื่องของรายการต่าง ๆ ให้จบ เพราะปัจจุบันนี้สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯมี 3 ส่วนหลัก คือ
1.บริษัทที่สหรัฐฯมาลงทุนในไทย แล้วส่งไปที่สหรัฐฯ ในส่วนนี้เราได้ค่าแรง และกลุ่มนี้ส่งกลับไปที่สหรัฐฯ การจะย้ายฐานกลับไปอเมริกาไม่ง่าย เพราะแรงงานเราเชี่ยวชาญแล้ว กลุ่มนี้รับสภาพภาษี ที่จะถูกปรับขึ้นจากการส่งกลับไปขายที่สหรัฐฯ
2.สินค้าที่วัตถุดิบมาจากจีน ในส่วนนี้เราเกินดุลอเมริกา แต่ไปขาดดุลจีน ถ้าในส่วนนี้ตัดออกไป หักลบกันแล้ว เราไม่เดือดร้อน
3.สินค้าเกษตร และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เราจะเปิดให้ส่วนนี้ แล้วเราได้รับผลกระทบมาก ซึ่งต้องปกป้องไว้ จะยอมเฉพาะสิ่งที่เป็นไปได้เท่านั้น
จนถึงเวลานี้ “ความชัดเจน” ก็คือ “ความไม่ชัดเจน” ว่าสุดท้ายแล้ว เราจะทำอะไรกันบ้าง “ประชาชน” ที่สุดท้ายแล้วต้องเดือดร้อนจริง ๆ จะเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร
หรือในส่วนของ “ภาคเอกชน” ที่เดือดร้อนเป็นอันดับแรก จะมีอะไรเข้ามาสนับสนุนบ้าง โดยที่รู้กัน ก็มีแต่เรื่องของ “เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ” ที่รายละเอียดเงื่อนไข ยังไม่ได้มีรายละเอียดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

ขณะที่เรื่องของ “สิทธิประโยชน์อื่น” เพิ่มเติม เพื่อลดหรือบรรเทาผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ ก็มีแต่หัวเรื่อง ไม่ได้มีรายละเอียดออกมาให้เห็น
รัฐบาลบอกว่า ได้เตรียมงบประมาณไว้แล้ว 10,000 ล้านบาท จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดผลกระทบจากภาคการส่งออก และเพิ่มผลิตภาพ ในเรื่องของแรงงานและเอสเอ็มอี ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการ กว่า 1,700 แห่ง และยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานประมาณ 1 แสนคน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด “ภาคเอกชน” บอกว่า การหารือกับ “หัวหน้าทีมไทยแลนด์” ทางทีมไทยแลนด์ต้องการให้ภาคเอกชนทำรายละเอียดในเรื่องของผลกระทบจากการขึ้นภาษีทรัมป์ มาให้ชัดเจนแบบลงลึก แบบเฉพาะเจาะจง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เลวร้ายที่สุด ที่ถูกเก็บภาษีแบบเต็มแม็กซ์ ในอัตรา 36% หรือแบบลดลงมาหน่อย ในอัตรา 25% หรือเท่ากับเวียดนามในอัตรา 20% หรือ “ในฐานกรุณา” ที่เท่ากับประเทศอื่นที่ 10%
ต่อให้เป็นที่รู้กันว่า การขึ้นภาษีของสหรัฐฯในครั้งนี้ ในข้อเท็จจริง หรือในความลึกที่แท้จริง จะมีประเด็นอื่นแฝงเข้ามาอยู่ มากกว่าประเด็นเชิงเสียเปรียบทางเศรษฐกิจก็ตาม
หรือ… “ส.ท.ร.” จะยืนยันชัดเจน การเจรจาไม่ใช่ยอมทุกอย่าง เหมือนกับการแก้ผ้าให้เลย เพราะไม่เช่นนั้น ก็เหมือนถูก “ชำเรา” ไปฟรี ๆ ก็ต้องหาทางหนีทีไล่ประกอบไปด้วย ไม่ได้หมายความว่า จะให้ได้ทุกอย่างตามที่ตั้งเงื่อนไขมา
จนถึงเวลานี้ มีหลายฝ่ายได้หยิบยก “โมเดลเวียดนาม” มาเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ หากสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยและใช้ชิ้นส่วนจากไทยจำนวนมาก ก็ควรมีภาษีที่น้อยลงหน่อย
หาก…เป็นสินค้าที่มีชิ้นส่วนที่ผลิตจากประเทศอื่น หรือประเทศที่สามเยอะ ก็อาจเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง

อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะไม่ใช่เรื่องเพียงแค่ “ด้านเดียว” แต่ต้องมองในรอบด้าน ครอบคลุม ก็เข้าใจกันได้
แต่ในแง่ของประชาชนแล้ว ในข้อเท็จจริงอาจไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้รับแรงกระแทกเป็นอันดับแรก ๆ แต่สุดท้ายก็หลีกหนีไม่พ้น
เพราะ…หากเศรษฐกิจขยายตัวได้น้อย “จีดีพี” โตน้อย นั่น…ก็หมายความว่า “เงินในกระเป๋า” ย่อมลดลง ย่อมหดหายลง การใช้ชีวิตก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นไปอีก
สุดท้ายและท้ายสุด แม้ต้องรอว่า สหรัฐฯจะตัดสินใจอย่างไรกันแน่ แต่ถ้ารัฐบาลมีความชัดเจนให้เห็นเรื่องของมาตรการช่วยเหลือกสักหน่อย ก็น่าจะทำให้ทุกฝ่าย “ใจชื้น” มากกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้
………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo











