ประชาชนคนไทย หายใจหายคอได้สะดวกกันไปอีกหน่อย หลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ คงดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% ต่อไปอีก
มติของ กนง.รอบนี้ แม้ไม่ได้หักปากกาเซียนกันสักเท่าใดนัก เพราะหลายฝ่ายต่างออกมาคาดการณ์ตรงกันว่า กนง.จะยังคงเลือกคงดอกเบี้ยไว้ก่อน เพื่อเก็บกระสุนไว้รองรับเหตุการณ์ในอนาคต
แม้มติของคณะกรรมการจะไม่เป็นเอกฉันท์ก็ตามที โดย กนง.ส่วนใหญ่ 6 เสียง มองว่าการลดดอกเบี้ยใน 2 ครั้งที่แล้วอย่างติดต่อกัน ยังสามารถรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจไว้ได้ในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน การตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับจังหวะ…เวลา… และความสัมฤทธิ์ผลของนโยบายการเงินด้วย เพราะภายใต้ความไม่แน่นอนสูง และขีดความสามารถของนโยบายการเงินก็ยังมีจำกัด
ส่วน กนง.เสียงส่วนน้อยแค่ 1 เสียง มองว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ทั้งหลายทั้งมวล ก็เพื่อเป็นการลดภาระและเอื้อต่อการปรับตัวของกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ
เรื่องนี้!! ก็ว่ากันไปตามเหตุผลของแต่ละคน ในเมื่อเป็นองค์กรอิสระ ก็ต้องมีอิสระทางความคิด ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่ มองว่ายังรับมือได้ และยังเป็นโอกาสในการเก็บกระสุนไว้ก่อน ก็ต้องว่ากันไปตามระบบประชาธิปไตย
แต่!!ที่น่าสนใจมากกว่า เรื่องของอัตราดอกเบี้ย…น่าจะเป็นเรื่องของการคาดการณ์เศรษฐกิจไทย (จีดีพีไทย) ที่กนง.ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์จีดีพีจากเดิม 1.3-2% มาอยู่ที่ 2.3%
อย่างที่บอก…มุมมองนี้น่าสนใจ!! เพราะการปรับขึ้นการคาดการณ์จีดีพีของ กนง.นั้น สวนทางกับสำนักวิจัยเศรษฐกิจอื่นๆ โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะหน่วยงานหลักอย่างสภาพัฒน์ ที่หั่นจีดีพี ปี 68 เหลือเพียง 1.8%
ขณะที่กระทรวงการคลังเอง ก็หั่นจีดีพี เหลือ 2.1% จากที่เคยมอง เคยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 3% แต่พอต้องมาเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงสารพัด การแอ่นอกของกระทรวงการคลัง หรือแม้แต่ “ขุนคลัง” เอง ยังต้องแผ่วลง
เหตุผลใหญ่!! ของ กนง.นั้น เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถขยายตัวได้ดีมาก จากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ และแนวโน้มในไตรมาส 2 ก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การส่งออก” ที่ทุบประวัติศาสตร์มาแล้วในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ที่ทะลุ 1 ล้านล้านบาท ไปแล้ว ซึ่งขยายตัวได้สูงถึง 18.4% ส่งผลให้ตลอด 5 เดือน ของปี 68 (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออกของไทย ขยายตัว 14.9%
ไม่เพียงเท่านี้…ยังมี “ข่าวดี” ออกมาจาก “รมว.พาณิชย์” เข้าให้ด้วยว่า ตัวเลขส่งออกในเดือนมิ.ย.นี้ ก็ยังปิดได้สวยงาม!! นั่นหมายความว่า โอกาสที่จะทุบสถิติอีก ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
เหนืออื่นใด…ที่ กนง.ได้ตัดสินใจปรับขึ้นจีดีพีในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะ “ผลบวก” จากการขึ้นภาษีตอบโต้ ของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่จากเดิมจะเรียกเก็บในอัตรา 36%
แต่จากสถานการณ์ทั้งหมด กนง. เชื่อว่า อัตราภาษีดั่งว่า น่าจะเหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น หรือไม่เกิน 18% ขณะที่ประเทศอื่นๆ น่าจะจัดเก็บอัตราน้อยกว่าไทย หรืออยู่ที่ประมาณ 10%
ด้วยเหตุปัจจัยใหญ่เช่นนี้ กนง.จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ น่าจะขยับเกิน 2% ขึ้นมาได้แน่นอน แม้ว่าแนวโน้มในครึ่งปีหลังนี้ จะซวนเซ เซซวน อย่างหนัก จนทำให้ต้องปรับลดจีดีพี ในปี 69 ลงเหลือ ที่ 1.7% จากที่คาดไว้ 1.8%
อย่างไรก็ดี !! กนง. ยังทิ้งไว้ด้วยว่า หากเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังนี้ติดลบที่ประมาณ 0.3% ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่ำกว่าระดับ 2%
อย่างที่รู้กันดีอยู่ว่า ตั้งแต่นาทีนี้ มองไปจนถึงสิ้นปี เราๆ ท่านๆ แทบจะมองไม่เห็นภาพบวก ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยเลย ทั้งการผ่อนปรนเรื่องภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ก็จะครบในวันที่ 9 ก.ค.นี้
แต่จนถึงบัดนี้ “ทีมไทยแลนด์” ที่มีหน้าที่ต้องเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แม้จะส่งรายละเอียดของข้อเสนอไปให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือยูเอสทีอาร์ แล้วก็ตาม
นั่นก็หมายความว่า ต้องรอ…และรอ… แต่เพียงอย่างเดียวว่า สหรัฐฯจะตอบรับ จะตอบกลับ จะส่งสัญญาณ มาอย่างไร ไม่มีใคร? ตอบได้
และ…ก็ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่? กันแน่ หรือแม้แต่ศึกประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
แต่ที่หนักหนาสาหัส ก็น่าจะเป็นศึกในบ้าน อย่างการเมือง ที่เชื่อเถอะ มีแต่คนตั้งคำถาม? ว่า แล้ว “นายกฯแพทองธาร” จะไปอย่างไรต่อคำถามที่อยู่ในใจและนอกใจของประชาชนคนไทย ก็แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงความไม่เชื่อมั่น ในตัวผู้นำ ใน “รัฐบาลอิ๊งค์ ½” ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เอาเป็นว่าในเมื่อ กนง.กล้าแหกโผ ก็ต้องไปจับตาดูกันต่อไปว่า โผ…นั้น จะถูกต้องมากน้อยแค่ไหน?
……………………………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
