บนโลกใบนี้ “ความไม่แน่นอน” ก็คือ “ความแน่นอน”… เฉกเช่นเดียวกับนโยบายของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” นั่นแหละ!! หลังจากทำโลกปั่นป่วนซวนเซ
อย่างล่าสุด…ก็ “จูบปากกับจีน” ยอมลดภาษีระหว่างกัน โดยสหรัฐฯยอมเก็บภาษีสินค้าจีนในอัตรา 30% ขณะที่จีนก็เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ในอัตรา 10% โดยมีระยะเวลา 90 วัน
เรียกได้ว่า เป็นการ “สงบศึกชั่วคราว” ระหว่าง “บิ๊กเบิ้ม” จาก “แดนตะวันตก” และ “แดนตะวันออก” ที่ขยับตัวกันทีไร โลกทั้งโลกก็ซวนเซไปตามๆ กัน
อย่างไรก็ดี ผลจากการสงบศึกในครั้งนี้ ก็ส่งผลให้เป็น “โอกาสของไทย” ไม่น้อย เพราะเท่ากับเป็นการบรรเทาบรรยากาศที่กำลังลุกเป็นไฟให้เย็นลง
เพราะอย่างน้อยเวลานี้ “ทีมไทยแลนด์” ก็มีความชัดเจนมากขึ้นกับ “ของ” ที่จะนำไปเจรจา รอเพียงแค่ให้สหรัฐฯ “คิกออฟ” กำหนดวันเจรจาให้ชัดเจนก็เท่านั้น
งานนี้หัวหน้าทีมอย่าง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและรมว.คลัง ระบุชัดเจนว่า “เงื่อนไขที่จะนำไปเจรจานั้น ได้หารือร่วมกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ “ยูเอสทีอาร์” รวมทั้งพิจารณาร่วมของคณะกรรมการนโยบายการค้าของไทย และยังผ่านการเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว”

สำหรับข้อเสนอของไทยประกอบด้วย 5 เรื่องใหญ่ คือ
1.ข้อเสนอการให้ความร่วมมือนำไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมแปรรูป และเทคโนโลยีดิจิทัล เอไอ ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงพิจารณาลดอุปสรรคทางการค้า ทั้งลดภาษี และไม่ใช่ภาษี
2.ยินดีเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อาทิ สินค้าเกษตร พลังงาน เครื่องบิน และส่วนประกอบ ซึ่งก่อนนี้ “ปลัดพลังงาน” นำคณะผู้ประกอบการไทย ได้แก่ ปตท. กฟผ. เอกชน เดินทางไปรัฐอะแลสกา เพื่อพูดคุยกับผู้ว่าการ และเอกชน เพื่อหารือถึงความร่วมมือ และแนวทางการลงทุนพลังงานเพิ่มเติม
3.ไทยจะเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรแก่สหรัฐฯ อาทิ ผลไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
4.เรื่องสินค้าผ่านทาง ไทยจะมีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวสวมสิทธิ แอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด ซึ่งเรื่องนี้ไทยดำเนินการไปแล้ว เป็นที่พอใจระดับหนึ่งต่อกรมศุลกากรสหรัฐฯ
5.ส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯมากขึ้น โดยขณะนี้ผู้แทนการค้าไทย เดินทางร่วมกับประธานหอการค้าไทย และภาคเอกชนชั้นนำไทย เพื่อเข้าร่วมงานมหกรรม ซีเล็ท ยูเอสเอ อินเวสท์เมนท์ ซัมมิท 2025 เพื่อไปดูลู่ทางที่จะลงทุนร่วมกันด้วย
เหนือสิ่งอื่นใด “หัวหน้าทีมไทยแลนด์” ย้ำให้เห็นชัดเจนว่า “สก็อตต์ เบสเซนด์” รมว.คลัง ของสหรัฐอเมริกา ได้แสดงท่าที “เชิงบวกต่อข้อเสนอของไทย”
โดยเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา “เบสเซนด์” ได้พูดถึงประเทศไทยในงานการค้าที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยบอกว่า “ไทยมีข้อเสนอที่ดี เช่นเดียวกับข้อเสนออินโดนีเซีย และไต้หวัน”

นั่นเท่ากับว่า…เป็นการส่งสัญญาณในเชิงบวกจากระดับนโยบายของสหรัฐฯ โดยเรื่องนี้ยังสำทับด้วยข้อมูลจาก “ซีอีโอกัลฟ์ (Gulf)-สารัชถ์ รัตนาวะดี” ที่มีโอกาสได้พบกับ “ทรัมป์” หลังได้รับเชิญจาก “กษัตริย์กาตาร์” ให้ร่วมรับประทานอาหารค่ำในงานเลี้ยงรับรอง “ทรัมป์” กับคณะ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่กาตาร์
“ซีอีโอสารัชถ์” ย้ำว่า “สหรัฐฯมีน้ำเสียงที่ดี และพร้อมรับการลงทุนจากประเทศไทย รวมถึงการลงทุนเพิ่มของกัลฟ์ เอง ในโครงการโรงไฟฟ้า แจ๊กสัน”
เอาเป็นว่า เมื่อสัญญาณมาดี ซะขนาดนี้ ก็น่าจะทำให้อะไรต่างๆ ดีขึ้น เหมือนอย่างที่ “หัวหน้าทีมไทยแลนด์” เอง ก็ตั้งความหวังไว้ว่า สหรัฐฯน่าจะลดภาษีให้ไทยเหลือเพียงแค่ 10%
เรื่องนี้ ก็ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่า สัญญาณเหล่านี้จะเป็น “สัญญาณจริง” หรือ “สัญญาณเทียม” เพราะหากเป็น “สัญญาณเทียม” เศรษฐกิจไทยอาจกู่ไม่กลับก็เป็นไปได้
…………………………
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo











