การที่ “ฝ่ายค้าน” ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวโดดๆ ทำให้ในทางการเมืองตอนนี้ “ดุลอำนาจ” สวิงไปอยู่ฝั่ง “พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะกับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ก่อนหน้านี้ โดน “ฝ่ายทักษิณ ชินวัตร” จับมือกับ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ใช้ “ดีเอสไอ” ไล่ขยี้ “สว.สีน้ำเงิน” ที่แนบแน่นกับพรรคภูมิใจไทย ในเรื่อง คดีฮั้วเลือกสว. 67 จนทำเอา “ภูมิใจไทย-สว.สีน้ำเงิน” เครื่องรวนไปพักใหญ่ ต้องเปิดเซฟเฮ้าส์ ซอยรางน้ำ วางแผนรับมือ จนกินกาแฟหมดไปหลายแก้ว ไวน์หมดไปหลายขวด
แต่ตอนนี้ “ภูมิใจไทย” กลับมาอยู่ในสภาพ เป็นต่อ “ทักษิณ-เพื่อไทย” แล้ว
เพราะด้วยการที่ “แพทองธาร” ถูกซักฟอกคนเดียว โดยไม่มีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นโดนด้วย แม้ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า รัฐมนตรีจากภูมิใจไทยจะโดนอภิปราย 2 คนคือ อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ น้องชาย “เนวิน ชิดชอบ” แต่สุดท้าย…ก็ไม่มี
เมื่อ “แพทองธาร” โดนซักฟอกคนเดียว มันก็ทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร-พรรคเพื่อไทย” ต้องพึ่งเสียง “สส.พรรคร่วมรัฐบาล” มาช่วยโหวตไว้วางใจให้ “แพทองธาร” ให้ได้เสียงไว้วางใจจาก สส.ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ฯ มากกว่าเสียงไม่ไว้วางใจ ซึ่งตอนนี้มีสส.ปฏิบัติหน้าที่อยู่ประมาณ 492 คน ซึ่งกึ่งหนึ่งก็คือ 246 เสียง เพราะ “เพื่อไทย” มีเสียงสส.อยู่แค่ 141 เสียง
ทำให้ตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงวันโหวต “ไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจ” ให้ “นายกฯแพทองธาร” ทาง “พรรคร่วมรัฐบาล” จึงถือไพ่เหนือกว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย” ไปอีกร่วมๆ 3 สัปดาห์

ซึ่งแน่นอนว่า ตั้งแต่นี้ไปจนถึงวันที่เริ่มต้นศึกซักฟอก แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะต้องออกมาประสานเสียง พร้อมกันหมด จะโหวตออกเสียงไว้วางใจให้ “นายกฯแพทองธาร” ชนิดไม่ต้องฟังฝ่ายค้าน ก็รอกดโหวตไว้วางใจให้อยู่แล้ว และก็เชื่อว่า จะเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ก็ยังไม่พร้อม จะแตกหักกับ “ทักษิณ-เพื่อไทย”
เพราะไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ การอยู่ร่วมรัฐบาลแบบนี้จึงดีที่สุด แล้วใช้โอกาสช่วงนี้ ก่อนถึงวันโหวตฯ “ต่อรองทางการเมือง” กับ “ทักษิณ” ให้ได้มากที่สุด เช่น ต้องคาดคั้นขอคำมั่นสัญญาทางการเมืองว่า หลังอภิปราย ฯเสร็จสิ้นลง หากจะมีการปรับครม. ถ้าจะมีการแลกกระทรวงกันจริงๆ ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ต้องให้พรรคร่วมรัฐบาลตัดสินใจด้วย ไม่ใช่ปรับแบบมัดมือชก
หลังก่อนหน้านี้ ลือกันหนาหูว่า “ทักษิณ” จะบีบ “ภูมิใจไทย” ให้คลาย “กระทรวงมหาดไทย” กับ “กระทรวงศึกษาธิการ” มาให้ “เพื่อไทย” แล้วจะให้ “อนุทิน” กลับไปอยู่ “กระทรวงสาธารณสุข” แทน แล้วโยก “สมศักดิ์ เทพสุทิน” จากรมว.สาธารณสุข มาเป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ แล้วเอาโควตากระทรวงมหาดไทยให้ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เพื่อให้ “ธรรมนัส” มาเป็น “มท.1” แทน หรือไม่ก็สลับระหว่าง “มหาดไทย” กับ “สาธารณสุข” คือให้ “อนุทิน” กลับไปเป็นรมว.สาธารณสุข แล้ว รมว.มหาดไทยกลับมาอยู่กับ “เพื่อไทย” ที่ก็อาจจะส่ง “สมศักดิ์” ไปเป็นมท.1 ก็ยังได้ เพราะ “สมศักดิ์” เป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวงแล้ว แต่ยังไม่เคยเป็น “มท.1” เลยสักครั้ง เป็นต้น
แต่พอ “แพทองธาร” โดนซักฟอกคนเดียวแบบนี้ ทำให้ “ภูมิใจไทย” สามารถต่อรองกับ “ทักษิณ-เพื่อไทย” ก่อนวันลงมติฯได้ว่า ถ้าจะปรับครม. โดยเฉพาะหากจะมีการสลับกระทรวงกัน จะต้องให้ “ภูมิใจไทย” ตัดสินใจด้วยว่า “เอาหรือไม่เอา” ซึ่ง “ทักษิณ” คงต้องยอมแล้ว เพื่อให้ “ลูกสาวตัวเอง” ได้คะแนนไว้วางใจ ให้ได้เยอะที่สุด…นั่นเอง
การยื่นซักฟอก “แพทองธาร” คนเดียวโดดๆ จึงทำให้ “พรรคร่วมรัฐบาล” แฮปปี้สุดๆ เพราะนอกจากไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเครียดในการเตรียมข้อมูลสู้กับ “ฝ่ายค้าน” ไม่พอ แต่ที่ได้มากกว่าคือ ได้เวลาทองในการที่จะถือไพ่เหนือกว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย” ไปจนถึงช่วงวันโหวตฯ หลังการอภิปรายเสร็จสิ้นลง
ส่วนการที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก “แพทองธาร” คนเดียว มองได้ว่า เพราะฝ่ายค้านต้องการอภิปรายแบบ “โป้งเดียวจอด” ไม่อยากเสียเวลา ไปอภิปรายแบบยิงกราด รัฐมนตรีนับสิบคน เมื่อต้องการทุบรัฐบาลให้น่วม ก็ต้องทุบที่ “ผู้นำรัฐบาล” กล่องดวงใจ “ทักษิณ ชินวัตร” ไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปอภิปรายรัฐมนตรีคนอื่นๆ เพราะการยื่นอภิปรายนายกฯในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่เป็นผู้นำสูงสุดฝ่ายบริหาร ที่ตามพ.ร.บ.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินฯ คือ “ผู้นำรัฐบาล”

ดังนั้น ฝ่ายค้านอภิปรายนายกฯ ก็สามารถอภิปรายประเด็นอื่นๆ ประกอบได้ แม้แต่เรื่อง “ชั้น 14 ทักษิณ ชินวัตร” ที่แม้ไม่ได้ยื่นอภิปราย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม แต่ก็สามารถอภิปรายโยงถึง “นายกฯแพทองธาร” ได้ เพียงแต่ต้องมีชั้นเชิง ไม่ให้สส.เพื่อไทย โดยเฉพาะบรรดา “องครักษ์ทักษิณ” คอยประท้วงตัดเกมได้ เพียงแต่ว่า เมื่ออภิปรายแล้ว นายกฯอาจไม่ได้ตอบด้วยตัวเอง โดยโยนไปให้รมว.ยุติธรรมตอบแทน อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ค่อยไปว่ากันหน้างานต่อไป
เช่นเดียวกับ ที่เมื่อยื่นอภิปรายนายกฯ ก็สามารถอภิปรายประเด็นอื่นๆ ได้เช่นกัน อาทิ ความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายแจกเงินประชาชน ที่แจกไปสองรอบแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจ ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างที่รัฐบาลคุยโว รวมถึง เรื่องส่วนตัวของนายกฯ ที่ฝ่ายค้านจองคิวไว้แล้ว เช่นเรื่อง การเคยเป็นผู้บริหารและถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์ฯ ที่เป็นของสนามกอล์ฟอัลไพน์ฯ ที่อยู่ในที่ดินธรณีสงฆ์ ที่ยังมีปัญหาข้อกฎหมายเคลียร์กันไม่จบ แต่ต่อมาได้โอนให้คนในครอบครัวก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกฯ เป็นต้น

รวมถึงการอภิปรายประเด็นเรื่อง “ความเป็นผู้นำประเทศ” ของ “แพทองธาร” ที่คาดว่าฝ่ายค้านนำโดย พรรคประชาชน คงจัดหนัก เห็นได้จากเนื้อหาในญัตติที่เขียนฯ ที่ฟาดแรง-ฟาดไม่ยั้ง อาทิ
“ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน ทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เจตนา ตลอดจนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันภายใต้การบริหารงานของตนเอง
ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน สมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด”
หากงานนี้ ไม่มีมวยล้ม “พรรคส้ม” เอาจริง กลับมาแสดงฝีมือการเป็น “ฝ่ายค้าน” ที่เคยสร้างชื่อเสียงตั้งแต่ “ยุคอนาคตใหม่” มาจนถึง “ยุคพรรคก้าวไกล” ก็ย่อมทำให้ “แพทองธาร” อาจถึงขั้น “คางเหลือง” กลางสภาฯได้
ขอแค่อย่าเป็นมวยล้ม ไม่ใช่ฉายหนังตัวอย่างเสียดุดัน ถึงเวลาขึ้นชกจริง กลับอ่อนซ้อม มีแต่รำป้อ ไม่มีหมัดน็อค เพราะโดน “เจ้าของพรรคส้ม” ซึ่งทุกคนรู้กันดีว่า “คือใคร” บอกให้ลดระดับ จากที่จะขึ้นชกแบบเฮฟวี่เวท ให้เหลือแค่ไลท์เวท เพราะ “เจ้าของพรรค” เกิดไปดีลกับ “นายห้างทักษิณ” เสียก่อน ถ้าออกมาแบบนี้ “พรรคส้ม” ก็ขุดหลุมฝังตัวเองกลางสภาฯ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า “เจ้าของพรรค” ซึ่งมีที่ทำงานอยู่แถวๆ ตึกไทยซัมมิท ถ.เพชรบุรี คงไม่คิดสั้น “ฆ่าลูกพรรคกลางสภาฯ” ยังไงคงปล่อยให้หวด “แพทองธาร” ให้เต็มที่ ถ้าออกมาแบบนี้ ศึกซักฟอกรอบนี้ ก็มันส์ยกร่อง
………………………………………..
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”











