สอบตกแบบไม่มีข้อสงสัย สำหรับ “ทีมไทยแลนด์” ที่มี “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและรมว.คลัง ในฐานะ “หัวหน้าทีมเจรจากับผู้แทนสหรัฐฯ” อันเนื่องมาจากการบังคับใช้มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ทันทีที่เจรจาเสร็จประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ส่งจดหมายรายงานผลโดย ยังยืนยันจัดเก็บภาษีสินค้าของไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐ 36% ตามที่กำหนดเดิม
นั่นเท่ากับว่า หากบวกภาษีพื้นฐาน ซึ่งทุกประเทศต้องเสียเท่ากันอยู่แล้วอีก 10% เท่ากับว่า ไทยต้องเสียภาษีสำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐเบ็ดเสร็จ 46% นับว่าหนักมาก
ผลที่ออกมาทำให้ไทยกลายเป็นประเทศอยู่ระดับหางแถวในกลุ่มประเทศอาเซียน ระนาบเดียวกับกัมพูชา ที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราเดียวกัน ส่วนลาวกับพม่าเสียอัตรา 40% ฟิลิปปินส์และเวียดนามเท่ากันคือ 20% มาเลย์และบรูไน ถูกเรียกเก็บ 25% ส่วนอินโดนีเซีย 32% มีเพียงสิงคโปร์แค่ 10% ต่ำที่สุดในอาเซียน
ทำไม “ทีมไทยแลนด์” สอบตกแบบไม่เป็นท่า ทั้งที่จ้าง “ล็อบบี้ยิสต์” ช่วยดำเนินการเกือบ 200 ล้านบาท
ประเด็นแรก “เรามีปัญหาการเมืองในประเทศ” ไม่มีความเป็นเอกภาพในรัฐบาลทำให้การเตรียมการล่าช้า ทั้งที่เรื่องนี้ทรัมป์ประกาศนโยบายล่วงหน้า 7 เดือน แต่รัฐบาลไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เสียเวลาไปกับความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล
ประเด็นต่อมา “ผู้นำอ่อนแอ” ไม่มีความรู้ จึงมอบหมายให้ “รองนายกฯ พิชัย” ทำหน้าที่แทน โดยที่ “นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร” ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่ทุกประเทศ “ผู้นำรัฐบาล” จะเป็นหัวหน้าทีมเจรจาเอง กระตือรือร้นในการแก้ปัญหา เช่น กรณีเวียดนาม หรือญี่ปุ่น ที่ “ผู้นำประเทศ” เขาโทรคุยกับ “โดนัลด์ ทรัมป์” โดยตรง จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไม “รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ” ไม่ให้โอกาส “ทีมไทยแลนด์” เข้าพบ สะท้อนว่า สหรัฐฯไม่ได้ให้ความสำคัญกับไทยแม้แต่น้อย จึงต้องกลับมาแบบ “มือเปล่า”
ประการที่สาม ที่ผ่านมา “ทีมไทยแลนด์” ทำงานกันระหว่าง “พิชัย” กับ “ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง” เป็น “คณะเล็ก ๆ” เท่านั้น ไม่มีการประชุมหารือร่วมกัน กับรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ เกษตรและสหกรณ์ อุตสาหกรรม และกระทรวงดีอี แต่ใช้วิธีคุยกันทางโทรศัพท์แทน ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องควรจะต้องระดมสมองกันอย่างเข้มข้นและกว้างขวาง จนตกผลึก ไม่ใช่แค่โทรศัพท์คุยกัน ขณะเดียวกันแทบไม่เห็นภาพการปรึกษาหารือร่วมกัน ระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับตัวแทนภาคเอกชน ยิ่งครม.ชุดใหม่ กระทรวงเศรษฐกิจอยู่คนละทิศคนละทาง สังกัดกันคนละพรรค น่าเป็นห่วงว่า จะหาข้อสรุปได้ทันเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่วันหรือไม่
ประการสุดท้าย การประเมินสถานการณ์ผิด รัฐบาลมองว่า เรื่องนี้ไม่ควรต้องเร่งรีบ ขณะที่เพื่อนบ้านในอาเซียนกระตือรือร้นที่จะขอเจรจา พร้อมทำการบ้านเพื่อไปต่อรอง แต่รัฐบาลไทยกลับรอดูท่าทีสหรัฐฯ และดูผลประเทศอื่น ๆ ที่เจรจาไปก่อนแล้ว ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศหลัง ๆ ที่ได้เจรจากับผู้แทนสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายเพียงไม่กี่วันและได้พบกับผู้แทนสหรัฐฯ เพียงครั้งเดียว…เท่านั้น

นี่คือเหตุผลทำให้ไทยสอบตกในรอบแรก จึงต้องยื่นข้อมูลใหม่อีกรอบ ให้ทันก่อนวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ที่อัตราภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ประกาศใช้ นับว่ามีความเสี่ยงอย่างมาก ยิ่งตอนนี้ไทยอยู่ในห้วงสุญญากาศทางการเมือง มีเพียง “นายกฯ รักษาการ” ล่าสุดในการหารือที่บ้านพิษณุโลก “ทักษิณ ชินวัตร” ยังต้องออกโรงนั่งหัวโต๊ะด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การเจรจารอบใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า มีความเป็นไปได้ที่ไทยจะใช้ “โมเดลเวียดนาม” ยอมตามที่สหรัฐฯ ต้องการ โดยให้เรา เปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ ต้องลดภาษีนำเข้า ยกเลิกมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่มาตรการภาษี และจัดการกับเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ อย่างจริงจัง และนี่คือ “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่จะ “ซื้อใจ” ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ในการเจรจารอบใหม่
แต่ด้วยเงื่อนไขเวลาที่จำกัด ทำให้โอกาสที่สหรัฐฯ จะพิจาณาอัตราภาษีใหม่ค่อนข้างริบหรี่ มีแนวโน้มค่อนข้างสูงว่า จะยืนอัตรา 36% เหมือนเดิม นั่นหมายความว่า มีผลกระทบกับการส่งออกไทยอาจจะต้องติดลบ โดยมีการประเมินว่า ครึ่งปีหลังจะติดลบ 4% และในปี 69 จะติดลบ 2% จะทำให้สูญเสียรายได้จากการส่งออกมูลค่ามหาศาล เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทย มีสัดส่วน 18% ของ GDP มีแนวโน้มจะเสียตลาดให้กับเวียดนามและเม็กซิโก ย่อมจะส่งผลถึง GDP ปี 68 น่าจะต่ำกว่า 1.8% ตามที่ธนาคารโลกคาดการณ์ และอาจจะมีโอกาสติดลบได้

ขณะเดียวกัน “นักลงทุนต่างประเทศ” ที่คิดมาลงทุน อาจจะต้องทบทวนแผนการลงทุนใหม่ นักลงทุนที่ลงทุนอยู่แล้ว อาจจะต้องทบทวนแผนย้ายฐานผลิต เพราะคงไม่มีใครอยากลงทุนในประเทศที่ต้องเสียภาษีในการส่งสินค้าออกไปสหรัฐฯ มากถึง 36% ถนนทุกสายจะมุ่งไปสู่เวียดนาม มาเลเซีย เพราะภาษีถูกกว่า ต้นทุนต่ำกว่า
งานนี้ก็คงลุ้นว่า “ทีมไทยแลนด์” จะสามารถโน้มน้าวสหรัฐฯ ให้ลดอัตราภาษีให้เท่ากับเวียดนาม ตามที่ตั้งความหวังไว้หรือไม่ แต่โอกาสความหวังนับว่าริบหรี่ ดูจากท่วงทำนองที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” แสดงออกมา ไม่ได้ให้ความสนใจประเทศไทยเท่าใดนัก “ปธน.ทรัมป์” ตั้งเป้าตัวเลขในใจที่ต้องจัดการ เรื่องหนี้ 12-15% ของงบประมาณ มีทางเดียวคือเขาต้องบีบ “คู่ค้า” ให้ “จ่ายภาษีนำเข้า” เพื่อเพิ่มรายได้ในการแก้ปัญหาหนี้ทีมีอยู่ พร้อมกับลดการขาดดุลการค้าที่มีค่อนข้างสูง
ไทยยังมีเวลาเหลืออีกราวแค่ 2 สัปดาห์ก่อนถึงเส้นตาย มารอดูกันว่า รัฐบาลไทยจะมี “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่จะซื้อใจ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้หรือไม่ เพราะนี่คือ “ลมหายใจเฮือกสุดท้าย” ของส่งออกไทยจริงๆ
……………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)












