วันนี้จะว่าด้วยเรื่องที่ดูเหมือนไกลจากบ้านเรา จึงไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่ สื่อก็รายงานแค่เหตุการณ์ความเคลื่อนไหว ไม่ได้วิเคราะห์เจาะลึกเท่าที่ควร แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ไกลบ้านเรา หลายหมื่นกิโลเมตร แต่ในยุคโลกไร้พรมแดน เรื่องที่จะพูดถึงจึงไม่ห่างไกลจากบ้านเราแม้แต่น้อย
นั่นคือ เหตุการณ์ “ชัตดาวน์” ในสหรัฐฯ “Government Shutdown” อันเกิดจากการที่รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ไม่สามารถใช้งบประมาณตามปกติ เนื่องมาจากปัญหาการเมืองภายในประเทศของสหรัฐฯเอง จากกรณีวุฒิสภาฯและสภาผู้แทนราษฏรไม่สามารถตกลงกันในเรื่องงบประมาณได้ทำให้กระทบการใช้งบประมาณปี 2569 ที่มีมูลค่า 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะสหรัฐฯเท่านั้น กลับส่งผลสะเทือนขยายวงกว้างกว่าที่คาด โดยเฉพาะประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลักในการส่งออกสินค้า ซึ่งปัจจุบันนี้ สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 17-18% ของการส่งออกทั้งหมด มูลค่ารวมราว 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปีหากแปลงมาเป็นเงินไทยก็ตกราว ๆ 2.37 ล้านล้านบาทเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
สินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่ อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ เครื่องจักรและชิ้นส่วน ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง ยานยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับรวมไปถึงพลาสติก เหล็กกล้าและอุปกรณ์การแพทย์ เป็นต้น
จากมูลค่าสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ สะท้อนว่า ไทยพึ่งพาทั้ง “ตลาดผู้บริโภค” และ “ตลาดอุตสาหกรรม” จะเห็นว่าตลาดสหรัฐฯเป็นเส้นเลือดใหญ่ สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล หล่อเลี้ยงผู้ประกอบการและแรงงานไทยจำนวนมาก หากเส้นเลือดเส้นนี้สะดุดหยุดลง เศรษฐกิจไทยย่อมได้รับแรงกระแทกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ทั้งนี้เนื่องมาจากกรณีชัตดาวน์ที่เกิดขึ้น หน่วยงานรัฐจำนวนมากถูกสั่งปิด หน่วยงานสำคัญๆบางหน่วยงานแม้ไม่โดนปิด แต่ก็ต้องลดจำนวนคนทำงานลง โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น ศุลกากร สำนักงานอาหารและยา และกระทรวงเกษตร ซึ่งการนำเข้าสินค้าต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานเหล่านี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ถูกลดจำนวนลง ย่อมเป็นอุปสรรคในการทำงาน และจะทำให้เกิดปัญหา “คอขวด” เกิดความล่าช้า สินค้าจำนวนมากต้องตกค้างที่ท่าเรือ เอาออกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเล เนื้อไก่ปรุงสุก หรือสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ต้องรีบกระจายเข้าสู่ตลาด ความล่าช้าไม่เพียงทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น จากค่าคลังสินค้าและค่ารอเรือ ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบในการส่งสินค้าไทยเข้าไปยังสหรัฐฯโดยตรง มิหนำซ้ำยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในเรื่องตรงต่อเวลา ที่เป็นหัวใจของการค้าโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบที่มองไม่เห็น และคาดไม่ถึงตามมา ที่กระทบแน่ ๆ นั่นคือ กำลังซื้อหดหาย เป็นผลพวงจากพนักงานเกือบ ๆ 8 แสนราย ถูกพักงาน บางส่วนไม่ได้รับเงินเดือนชั่วคราว และไม่รู้ว่าการชัตดาวน์ จะกินเวลานานแค่ไหน แต่หากย้อนไปสมัยโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เคยชัตดาวน์นานถึง 35 วัน เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม การชัตดาวน์แต่ละครั้ง แม้เวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง เพราะคนอเมริกันชะลอการใช้จ่าย เนื่องจากไม่แน่ใจอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า อัญมณี เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าส่งออกของไทย เมื่อกำลังซื้อหด ยอดการสั่งซื้อก็ลดลง เป็นแรงกดดันที่ผู้ส่งออกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ต้องรับไปเต็ม ๆ
แต่ที่แน่ ๆ มีสินค้าไทยบางประเภทที่ไทยส่งไปสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องมือแพทย์ หรืออุปกรณ์ อิเลคทรอนิกส์ ที่มีความเกี่ยวโยงกับการจัดซื้อของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หากโครงการรัฐถูกเลื่อนหรือถูกระงับ คำสั่งซื้อจากไทยก็จะพลอยหายไปด้วย แม้การชัตดาวน์จะยุติลง แต่การเบิกจ่ายงบประมาณใหม่และการจัดซื้อต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน กว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ที่สำคัญ…การชัตดาวน์ทำให้ความเชื่อมั่นในระบบการเงินของสหรัฐฯ สั่นคลอน นักลงทุนกังวลต่อเสถียรภาพการคลังและค่าเงินดอลลาร์มักจะผันผวน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับผู้ส่งออกของไทย เพราะไม่ว่าค่าเงินจะไปทิศทางใด ความไม่แน่นอนย่อมทำให้ผู้ส่งออกไทยบริหารความเสี่ยงยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากกรณีชัตดาวน์ที่เกิดมาแล้วหลายครั้ง นั่นคือ อย่าพึ่งพาตลาดสหรัฐฯตลาดเดียวมากเกินไป ผู้ส่งออกไทยควรจะเร่งกระจายตลาดไปยังตลาดอาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลางและจีนมากขึ้น แม้ว่าจะเจาะเข้าตลาดจีนลำบาก เพราะต้องแข่งขันกับสินค้าของจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าเราก็ตาม แต่เพื่อลดความเสี่ยงจากการสะดุดชั่วคราวในกรณีชัตดาวน์ของสหรัฐฯ การหาตลาดใหม่ ๆ จึงมีความจำเป็น แม้จะยากและต้องใช้เวลาเพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่า ในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกเมื่อไหร่
อย่าลืมว่า การชัตดาวน์ของสหรัฐฯ แม้เป็นประเด็นภายในที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้าน ทำให้ไทยต้องพลอยโดนหางเลขแบบเต็ม ๆ ซึ่งสหรัฐฯเป็นตลาดใหญ่ จึงจะนิ่งนอนใจไม่ได้ ไหน ๆ เรามีดรีมทีมเศรษฐกิจ ทั้งรัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีพาณิชย์ รัฐมนตรีต่างประเทศที่เป็นมืออาชีพ งานนี้คงต้องโชว์ฝีมือให้สมกับที่สร้างความฮือฮาก่อนหน้านี้
………….
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย….”ทวี มีเงิน”
สนับสนุนโดย…..บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)












