แม้ว่าหลังจากโควิดเศรษฐกิจไทยจะฟื้นช้าตัวกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน จนเรียกว่า เกือบจะอยู่รั้งท้าย แต่ก็นับว่าอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวจากภาวะซบเซามานาน จะเห็นได้จาก จีดีพี.ที่หน่วยงานภาครัฐประกาศโตราว ๆ 2-3% โดยเฉลี่ย
อย่างไรก็ตาม การค่อย ๆ ฟื้นตัว กลับสวนทางกับความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน รวมถึงบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการรายย่อย และรายกลางทั้งหลาย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจไทยไม่ดีต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการเติบโตดังกล่าวกระจุกตัวอยู่เฉพาะในบางกลุ่ม อาทิ ธุรกิจใหญ่ และผู้มีรายได้สูงเท่านั้น อย่างเป็นที่รู้ ๆ กันว่าจีดีพีที่โตนั้น เข้าตำรา “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” ไปกระจุกอยู่ใน “กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่-กลุ่มทุนผูกขาดไม่กี่ตระกูล” การที่ “จีดีพี.โตแบบไม่ทั่วถึง” จึงเป็น “กับดักเศรษฐกิจไทย” ที่ยังแก้ไม่ตก
คงต้องยอมรับว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจไทย ไปกระจุกตัวอยู่แค่เพียงไม่กี่อุตสาหกรรม อย่างธุรกิจท่องเที่ยวและส่งออกและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มพลังงาน โทรคมนาคม ธนาคาร ปิโตรเคมี ซึ่งอยู่ในมือของกลุ่มทุนไม่กี่ตระกูล เท่านั้น
ที่สำคัญ กลุ่มทุนของไทย ส่วนใหญ่จะ ผูกขาดในสัมปทานรัฐ ผูกขาดในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ และ ผูกขาดจากการบังคับใช้กฏหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น กฏหมายป้องกันการผูกขาดที่ไม่สามารถบังคับใช้กับธุรกิจขนาดใหญ่หรือกลุ่มทุนใหญ่ ทำให้ธุรกิจขนาดกลลางและขนาดเล็ก ไม่สามารถแข่งขันกับบรรดายักษ์ใหญ่ได้
ปัญหานี้กลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางธุรกิจระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่กับธุรกิจขนาดเล็ก จึงทำให้ จีดีพี.แต่ละปีจึงโตแบบไม่ทั่วถึง กระจายไม่ถึงธุรกิจขนาดเล็กและระดับครัวเรือน ขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มทุนใหญ่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นทุกปี
กับดักต่อมาคือ “รายได้ไม่พอรายจ่าย” กลุ่มฐานล่างกว่า 60% ของแรงงานยังอยู่กับรายได้ที่แทบไม่ขยับมาหลายปี จึงมีคำพูดในกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “จีดีพี.โตแต่กระเป๋าไม่โต” ทุกวันนี้คนทำงานในออฟฟิศ คนงานในโรงงาน คนที่ทำอาชีพอิสระ มักจะบ่นว่า เงินเดือนที่ได้แต่ละเดือน ไม่พอใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาโรงงานอุตสาหกรรม ต่างพากันลดกำลังการผลิตลง โรงงานขนาดกลางลดคนงาน ไม่มีค่าโอที. บริษัทต่าง ๆ ลดพนักงานประจำ ไม่มีนโยบายรับคนเพิ่ม
หลาย ๆ บริษัทใช้วิธีเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานและจ่ายค่าตอบแทนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ จ่ายค่าจ้างเป็นจำนวนชิ้นแทนจ่ายเป็นรายชั่วโมง หรือจ้างงานรายวันแทนรายเดือน จ้างพนักงานแบบชั่วคราว โดยผ่านบริษัทภายนอก บริษัทที่ว่าจ้างไม่ต้องรับภาระสวัสดิการ ไม่มีโบนัส ไม่มีประกันสุขภาพ สามารถปรับลดคนได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ง่ายต่อการจัดการแรงงานและค่าใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
แต่รูปแบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่น กลับเป็นผลเสียต่อคนทำงาน เพราะทำให้หน้าที่การงานของแรงงานและพนักงานจำนวนมาก ไม่มั่นคง รายได้ไม่แน่นอน ส่วนใหญ่รายได้น้อยอยู่แล้ว ไม่มีโบนัส ไม่มีโอที. และไม่สามารถคาดการณ์รายได้ในอนาคตได้
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวรายได้ก็หดตามทันที เช่น กรณีพนักงานส่งอาหารหลายคนต้องทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง เพื่อให้รายได้เท่าเดิม แรงงานกลุ่มนี้จึงต้องระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้น ส่วนคนทำงานรุ่นใหม่ที่เป็นฟรีแลนซ์หรือพนักงานชั่วคราว รายได้ก็ไม่แน่นอน ต้องใช้จ่ายแบบวันต่อวันมากกว่าการวางแผนระยะยาว
บรรดาพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยทั่วไป รวมถึงกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าขายของตามตลาดนัด รายได้ลดลงจากเดิมมาก เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 คาดว่าเป็นผลจากกำลังซื้อที่เป็นลูกค้าประจำรายได้ลดลง ใครที่ชอบเดินตลาด มักจะได้ยินเสียงบ่นจากพ่อค้าแม่ค้าว่า “ขายของไม่ได้-คนเงียบเหงา-ลูกค้าประจำจะซื้อของเท่าที่จำเป็นจริงๆ” แม่ค้าบางคนบอก เมื่อก่อนเคยขายได้วันละ 3 พัน เดี๋ยวนี้เหลือพันห้า ถือว่าโชคดีแล้ว
เมื่อรายได้ลดลงสวนทางกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำ แต่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต มีราคาโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 15% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ยิ่งซ้ำเติมคนที่มีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้วให้มีความเป็นอยู่แย่ลงไปอีก พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนทำงานเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากรายได้ที่เคยมีพอแบ่งปันเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข เช่น การทานข้าวนอกบ้าน การท่องเที่ยวก็ลดลง บางคนต้องตัดรายจ่ายพวกนี้ทิ้งไปเลย
ที่สำคัญ เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อโดยรวมของเศรษฐกิจทั้งระบบก็หดตัวทันที จะเห็นได้จากธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจบริการ ต้องลดพนักงานหรือปรับเวลาให้บริการ บางแห่งต้องปิดร้านในวันทำงานจะเปิดขายเฉพาะในวันสุดสัปดาห์เพื่อลดค่าใช้จ่าย แม้แต่ในห้างฯใหญ่ ๆ ยอดขายลดลงต้องจัดโปรโมชั่นลดราคาทุกเดือนเพื่อดึงคนมาใช้จ่าย
ฉะนั้นเมื่อรายได้ไม่พอรายจ่าย ทางออกทางออกสุดท้ายของคนเหล่านี้ คือต้อง “ก่อหนี้” และหนี้อันดับหนึ่งคือ “หนี้บัตรเครดิต” จึงไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้ คนไทยแบกหนี้หลังแทบหัก
อันที่จริงการเติบโตแบบไม่ทั่วถึง กระจุกแค่ธุรกิจไม่กี่กลุ่มและคนไม่กี่ตระกูล รวมทั้งปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ถูกละเลยมาจนสุกงอมจนใกล้เวลาระเบิดในอนาคตอันใกล้นี้
………….
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย….”ทวี มีเงิน”
สนับสนุนโดย…..บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)












