หน้าแรกCOLUMNISTSเปิดบันทึกกมธ.ปปง.ไล่บี้คดี“สส.ช.ช้าง” จับตา“ย่ำยีศักดิ์ศรีปชช.-ปท.เสื่อมถอย”

เปิดบันทึกกมธ.ปปง.ไล่บี้คดี“สส.ช.ช้าง” จับตา“ย่ำยีศักดิ์ศรีปชช.-ปท.เสื่อมถอย”

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ต้องบอกว่า สำหรับ คดีฟอกเงินและเว็บพนัน ที่มี เจ้าของสโมสรฟุตบอลนครศรี ยูไนเต็ด ปัจจุบันมีสถานะทางการเมือง ชื่อย่อ “สส. ช.ช้าง” ถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้น

ทาง กรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สภาผู้แทนราษฎร มีการ “เกาะติดเรื่องนี้” มาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2566

การประชุมครั้งล่าสุด ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 68 “เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล” ได้เรียกผู้เกี่ยวข้อง มาชี้แจงการดำเนินคดีเรื่องนี้ รวมทั้งติดตามผลการยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว

โดย ผู้แทนจากตำรวจไซเบอร์ ชี้แจงว่า กรณีของเจ้าของสโมสรฟุตบอลนครศรียูไนเต็ด มีคดีเกิดขึ้นปี 2565 ในพื้นที่สงขลา 3 คดี แบ่งเป็นอำเภอเมืองสงขลา 2 คดี ส่วนอีก 1 คดี อยู่ในเขตอำนาจ ของ สภ.หาดใหญ่

คดีที่ 1 ของ สภ.เมืองสงขลา มีผู้ต้องหา 2 ราย เกี่ยวกับความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องผู้ต้องหา 2 ราย ส่งสำนวนให้อัยการ ทางพนักงานอัยการ มีความเห็น สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 คือ “บอสตาล” หรือ “พงษ์ศิริ ฐานราชวงศ์ศึก” เจ้าของสโมสรฟุตบอลลำพูนวอริเออร์ เท่านั้น และ สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 (สส.ช.ช้าง) ขณะที่ตำรวจภูธรภาค 9 ไม่ได้ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว

ต่อมาศาลพิพากษาจำคุก เจ้าของสโมสรฟุตบอลลำพูน วอริเออร์ เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ปรับเงิน 5 หมื่นบาท และรอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี คดีถือเป็นที่ยุติแล้ว ส่วน ปปง. ได้ตามยึดทรัพย์สินได้อีกกว่า 600 กว่าล้านบาท

คดีที่ 2 เป็นคดีร่วมกันฟอกเงิน ในความรับผิดชอบ สภ.เมืองสงขลา พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องผู้ต้องหา 2 ราย ปรากฎว่า ทางอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งคู่

ทางตำรวจภูธรภาค 9 ได้ทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้อง และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด ทาง อสส.ได้มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน ทำการสอบเพิ่มเติมใน 4 ประเด็น เกี่ยวกับพยานบุคคล ความเชื่อมโยงบัญชีต่าง ๆ ปัจจุบัน คดีอยู่ระหว่างการดำเนินการตามคำสั่ง

คดีที่ 3 เป็นคดีพนันออนไลน์ และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ของ สภ.หาดใหญ่ พนักงานสอบสวนมีความเห็น สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 2 และ สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 จากนั้นส่งสำนวนให้อัยการ

ต่อมา อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ทางตำรวจภูธรภาค 9 ได้ทำความเห็นแย้งไปว่า ควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย จึงต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาด ปัจจุบัน อัยการสูงสุดสั่งให้พนักงานสอบสวน ได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมใน 8 ประเด็น

ขณะที่ ตัวแทนจาก ปปง. ชี้แจงการยึดทรัพย์เจ้าของสโมสรฟุตบอลนครศรียูไนเต็ดว่า ต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดจากอัยการสูงสุด เพราะมีความเห็นขัดแย้งระหว่างพนักงานอัยการกับพนักงานสอบสวน

โดย ปปง.ได้ติดตามผลชี้ขาดไปยังตำรวจภูธรภาค 9 ครั้งแรกวันที่ 22 ม.ค.67, ครั้งที่สอง วันที่ 14 พ.ย.67 และครั้งที่ 3 วันที่ 27 พ.ค.68 ทางตำรวจได้ทำหนังสือชี้แจงมาว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม ตามคำสั่งอัยการสูงสุด เมื่อยังไม่มีคำชี้ขาดลงมา จึงไม่ไม่มีการอายัดทรัพย์

พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า ทางตำรวจมีการแจ้งข้อกล่าวหา เจ้าของสโมสรนครศรียูไนเต็ด ในความผิด 2 ข้อหา คือ

1.ข้อกล่าวหาทำเว็บพนัน ส่วนนี้อัยการสั่งไม่ฟ้อง และทางตำรวจไม่มีความเห็นแย้ง

2.ความผิดฐานฟอกเงิน ที่ยังต้องรำคำวินิจฉัยชี้ขาดของอัยการสูงสุดก่อน จึงจะสามารถอายัดทรัพย์สินได้ต่อไป

ด้าน กมธ.ปปง. ได้ซักถามผู้เกี่ยวข้องในประเด็นใหญ่ คือ มีการกลับคำให้การของเจ้าหน้าที่ จนทำให้ผู้ต้องหาหลุดพ้นคดีจริงหรือไม่

ทาง ผู้แทนจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ชี้แจงโดยยืนยันว่า การสอบเพิ่มเติมที่ดำเนินการ ไม่ใช่การกลับคำให้การ หรือการยกเลิกคำให้การเดิมแต่อย่างใด คำให้การดังกล่าว ยังปรากฎในสำนวนการสอบสวน และมีบันทึกไว้ที่ สภ.หาดใหญ่อีกชั้นหนึ่ง ในระหว่างการขยายผลเพิ่มเติม

สำหรับประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่อัยการสั่งสอบสวนเพิ่มเติม คือ อัยการได้สั่งแปลงข้อมูลจากธนาคาร ที่ส่งมาในรูปแบบซีดี ให้เป็นเอกสารเอ็กเซลล์ เพื่อวิเคราะห์ในโปรแกรมตรวจสอบความเชื่อมโยงของบัญชีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีในบางประเด็น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าห้องพัก ซึ่งมีเอกสารจำนวนมาก

สุดท้าย กมธ.ปปง. ได้ตั้งข้อสังเกตถึงลักษณะ การโอนเงินไปยังผู้รับผลประโยชน์ ยอดไม่ถึง 2 ล้านบาท เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สรรพากร และสำนักงาน ปปง. เนื่องจากพบธุรกรรมจำนวนมาก มียอดประมาณ 1.9 ล้านบาท หรือใกล้เคียงหลายธุรกรรม

โดยพบข้อมูลว่า เจ้าของสโมสรฟุตบอลลำพูน วอริเออร์ มีธุรกรรมการเงินเกี่ยวข้องกับเจ้าของสโมสรฟุตบอลนครศรียูไนเต็ด รายแรกถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง แต่ “บางราย” กลับไม่มีความคืบหน้าในกระบวนการยุติธรรม

เรื่องนี้อาจก่อให้เกิดความรู้สึกสงสัยว่า มีความเหลื่อมล้ำ หรือ มาตรฐานที่ไม่เป็นธรรม ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมายหรือไม่ หากปล่อยให้ “กลุ่มทุนสีเทา” หรือเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงิน เข้ามามีอิทธิพลต่อระบบการเมือง เช่น การซื้อเสียง ครอบงำ สส. จะส่งผลต่อคุณภาพของเมืองไทย

นอกจากนี้ ยังทำให้ ประเทศชาติเสื่อมถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่บุคคลนำเงินที่ได้จากการเอารัดเอาเปรียบประชาชน มาใช้สร้างภาพลักษณ์ หรือยกระดับสถานะของตัวเอง ถือเป็นการ ย่ำยีศักดิ์ศรีของประชาชน เห็นว่าเป็นสิ่งที่ ไม่อาจยอมรับได้

…………….

คอลัมน์ : The Key Reported by Fah kham-ram

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_img