หน้าแรกCOLUMNISTSรัฐบาลแก้ปัญหาชายแดน “ไทย-เขมร” ช้า ข่าวปลอมยิ่งแพร่กระจาย

รัฐบาลแก้ปัญหาชายแดน “ไทย-เขมร” ช้า ข่าวปลอมยิ่งแพร่กระจาย

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“….กองทัพเรือเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างต่อเนื่อง สนองนโยบายรัฐบาล และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณชายแดนให้กลับมามีความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและปกติสุข….”

@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 1 พ.ย.68 เรื่องของชายแดนไทย กัมพูชา ยังคงเป็นปัญหาที่ยังไม่มีข้อยุติ และยิ่งช้า ข่าวปลอมก็จะถูกปล่อยออกมา ล่าสุดข่าวเชลยศึก 18 ทหารเขมรครึ่งหนึ่ง ขอลี้ภัยจะอยู่ประเทศไทยนั้น ทางกองทัพบกตรวจสอบกับผู้ที่รับผิดชอบในการควบคุมตัวเชลยศึก พบว่า ไม่มีประเด็นตามข่าว ที่กล่าวว่าเชลยศึกได้ขอลี้ภัย แต่อย่างใด ในส่วนของภาพและคลิปวีดีโอตามที่ปรากฏนั้น เป็นการถ่ายภาพเพื่อบันทึกหลักฐานถึงสภาพความเป็นอยู่ของเชลยศึก ที่ได้มีการดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายสากล ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการเผยแพร่ต่อสาธารณะ

@@@…….ที่ห้องสุรศักดิ์มนตรี ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม มีการเปิดตัวโครงการ “AIS เชื่อมกำลังใจ แด่ทหารไทยในแนวหน้า” จัดพิธีมอบสิทธิพิเศษด้านการสื่อสารให้แก่กำลังพลทหารชายแดนทั่วประเทศ โดย พล.ท. อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม เป็นประธาน สำหรับโครงการนี้ไม่เพียงช่วยให้กำลังพลตามแนวชายแดนสามารถติดต่อสื่อสารกับครอบครัวได้สะดวกขึ้น แต่ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบสื่อสารในการปฏิบัติภารกิจเสริมความมั่นคงชายแดนและปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างมีประสิทธิผล พร้อมทั้งลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวผู้ปฏิบัติหน้าที่ นับเป็นอีกหนึ่งพลังใจจากพี่น้องคนไทยที่ส่งต่อถึงเหล่าทหารกล้าในพื้นที่ห่างไกล

@@@…….พล.ท.อดุลย์ กล่าวขอบคุณบริษัทเอไอเอสที่ร่วมเป็นพลังสนับสนุน ให้กำลังพลชายแดนกว่า 30,000 นาย สามารถโทรศัพท์หาคนพิเศษใกล้ชิดได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สิ่งเหล่านี้คือ อำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน ตนอยู่ชายแดนมาตลอด เข้าใจดีถึงหัวใจของทหารแนวหน้าภาคธุรกิจอาจประเมินกำไรขาดทุนได้ แต่ทหารเราไม่มีกำไร ทุนของเราคือ ‘ชีวิต’ และ ‘อธิปไตยของชาติ’ เพราะฉะนั้น เราจะผิดพลาดไม่ได้สำหรับทหาร หากแพ้ คือการสูญเสียดินแดน สูญเสียอธิปไตย และบ่อยครั้งต้องแลกมาด้วยขาขาด แขนขาด หรือแม้แต่ชีวิต ดังนั้น เมื่อภาคเอกชนมีโอกาสร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตทหารชายแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนคิดมาตลอด ตั้งแต่เป็นร้อยตรีจนถึงวันนี้ คือหลักการง่าย ๆ “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี และสัญญาณโทรศัพท์” เมื่อสิ่งเหล่านี้พร้อม ชีวิตของกำลังพลและครอบครัวมีความสุข การปฏิบัติภารกิจก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น “โครงการ AIS เชื่อมกำลังใจ แด่ทหารไทยในแนวหน้า” จึงเป็นมากกว่าโครงการด้านการสื่อสารแต่คือการเติมเต็มพลังใจ ให้เหล่าทหารกล้าได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจสูงสุดในคำว่า “ผู้พิทักษ์แผ่นดินไทย” 

@@@…….กองทัพบก…..จากกรณีที่สำนักข่าวกัมพูชานำเสนอข่าวว่า หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ได้ออกเอกสารชี้แจงผลการตรวจสอบเหตุระเบิด เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2568 ในพื้นที่อำเภอจอมกระสาน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กชายอายุ 10 ขวบเสียชีวิต และบิดาได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยสาระสำคัญในเอกสารดังกล่าวระบุผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมภาพถ่ายจากจุดเกิดเหตุ สรุปว่า “วัตถุระเบิดที่ทำให้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นระเบิดแบบคลัสเตอร์ M-85 จากกระสุนแบบ M396 ซึ่งยิงมาจากปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรของกองทัพไทย” และอ้างว่าเป็นเศษวัตถุระเบิดที่ตกค้างจากเหตุปะทะระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา

@@@…….ต่อกรณีดังกล่าว พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงว่า เมื่อพิจารณาเนื้อหาของเอกสารชี้แจงและภาพถ่ายที่เกิดเหตุ เปรียบเทียบกับข้อมูลทางเทคนิคของกระสุนปืนใหญ่ชนิดที่ทางกัมพูชาระบุมาในข่าว พบว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ด้วยข้อสังเกตสำคัญหลายประการ ดังนี้ 1. กองทัพบกไทยมีลูกกระสุนปืนใหญ่ลักษณะดังกล่าวจริง แต่ใช้ในลักษณะระมัดระวัง ต่อเป้าหมายที่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มั่นแข็งแรง ใช้สำหรับการเจาะเกราะ และจะใช้กระทำต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นกระสุนระเบิดทวิประสงค์ (Dual Purpose Improved Conventional Munitions – DPICM) ของปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร 2. โดยการทำงานของกระสุนชนิดนี้ เมื่อยิงถึงเป้าหมายที่กำหนด จะระเบิดและปล่อยลูกระเบิดย่อยแบบ M85 ออกมา ซึ่งลูกระเบิดย่อยจะทำงานและระเบิดตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการตกค้างในพื้นที่ และไม่มีส่วนประกอบของลูกปราย (ลูกเหล็กทรงกลม) ภายในระเบิด

@@@…….3. จากภาพหลักฐานที่กัมพูชาเผยแพร่ พบว่าลักษณะความเสียหายไม่สอดคล้องกับระเบิดแบบ M85 โดยภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นหลังคาบ้านและโอ่งน้ำมีรูพรุนจำนวนมาก รวมทั้งพบร่องรอยสะเก็ดระเบิดทั่วไป ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของระเบิดแรงสูงแบบ Shaped Charge ที่มักก่อให้เกิดการลุกไหม้หรือหลอมละลายของพื้นผิววัตถุ ทั้งนี้ ระเบิดแบบ M85 ไม่มีคุณสมบัติสร้างสะเก็ดจำนวนมากเช่นที่ปรากฏในภาพ จึงมีความเป็นไปได้น้อยมากที่ลูกระเบิดย่อยแบบ M85 จะไม่ทำงานจนกลายเป็นระเบิดตกค้าง และแม้ว่าเกิดเหตุระเบิดจากลูกระเบิดแบบ M85 จริง ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ขัดแย้งกับข้อสรุปทางนิติวิทยาศาสตร์ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน หวังว่าการนำเสนอข่าวของฝ่ายกัมพูชาจะอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้กลายเป็นข้อมูลบิดเบือนที่อาจถูกใช้สร้างความเข้าใจผิดในสังคม เพราะการสื่อสารที่ไม่ถูกต้องย่อมส่งผลกระทบต่อกระบวนการลดความขัดแย้งที่ทั้งสองประเทศกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

@@@…….กองบัญชาการกองทัพไทย…..คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) ประกอบด้วย Major Jaffny จากประเทศมาเลเซีย และ Master Sergeant Apolonio จากประเทศฟิลิปปินส์ ได้ร่วมสังเกตการณ์และตรวจสอบขั้นตอนการเคลื่อนย้ายรถถัง M60A3 จำนวน 2 คัน กลับสู่ที่ตั้งหน่วย จังหวัดสระบุรี ซึ่งการดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งการเข้าสังเกตการณ์ครั้งนี้ได้รับการอำนวยความสะดวกโดย พ.อ. ณัฐพล บุญกระพือ เสนาธิการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ ณ กองพันทหารม้าที่ 17 กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามพันธกรณีใน “ข้อตกลงร่วมไทย–กัมพูชา” ที่ได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ณ ประเทศมาเลเซีย โดยทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพ เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น ลดความตึงเครียด และวางรากฐานแห่งความร่วมมือในระยะยาว

@@@……. ทั้งนี้ วันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็น “วัน D-Day ของการเริ่มต้นถอนอาวุธหนัก ตามข้อตกลงไทย–กัมพูชา” แม้จะเป็นเพียงขั้นตอนแรก แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึง ความมุ่งมั่นแน่วแน่ของกองทัพไทย ในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์แห่งข้อตกลงร่วม เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคงตามแนวชายแดน ลดความหวาดระแวง และเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กองทัพไทยได้แสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนในการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่แนวชายแดน เพื่อเป็นการลดระดับความตึงเครียดและความกดดันที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมยืนยันการใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา เพื่อคงไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ทั้งสองฝั่งชายแดน การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปด้วย ความรอบคอบ และตั้งอยู่บนพื้นฐานในการธำรงไว้ซึ่ง อธิปไตยและความมั่นคงของชาติ รวมทั้งความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา

@@@…….ที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ…..พล.อ.รังพิรัชต์ แย้มเกษร ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ และ พล.ท. วัชรพล พรหมเสนา รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ เดินทางไปตรวจเยี่ยม และติดตามความคืบหน้าการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิด ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สหพันธรัฐมาเลเซีย ณ บ้านสายโท 10 ใต้ ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมี พ.อ. ภาคภูมิ นภากาศ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 2 พร้อมด้วยผู้แทน หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ 3 และหน่วยรับผิดชอบในพื้นที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 2 ให้การต้อนรับโดยได้จัดการบรรยายสรุป การปฏิบัติงานในภาพรวม ของชุดปฏิบัติการเก็บกู้ และกวาดล้างทุ่นระเบิด หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดที่ 3 และในโอกาสนี้ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ได้นำความห่วงใยของผู้บังคับบัญชาระดับสูง กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมกับมอบแนวทางการปฏิบัติงานโดยเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย และการปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติประจำ พร้อมทั้งให้กำลังใจในการปฏิบัติงานแก่กำลังพล

@@@…….กองทัพเรือ…..พล.ร.ต. ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ได้ดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน บ้านหนองรี ตำบลชำราก อำเภอเมือง จังหวัดตราด การปฏิบัติครั้งนี้เป็นการดำเนินงานอย่างเร่งด่วน เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ภายหลังที่นายกรัฐมนตรีได้ลงนามใน แถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้เห็นชอบร่วมกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างในพื้นที่ชายแดน โดยระหว่างปฏิบัติการ ทางกองร้อยทหารช่างได้ตรวจพบและเก็บกู้ทุ่นระเบิดรวมถึงวัตถุระเบิดตกค้างหลายรายการ ได้แก่ ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 1 ทุ่นสภาพใหม่ แบบ TYPE-72 จำนวน 1 ทุ่น ลูกระเบิด ค.61 จำนวน 2ลูก ค.82 และ ลูก RPG อย่างละ 1 ลูก ภารกิจดังกล่าว เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกองทัพเรือในการปกป้องอธิปไตยของชาติ สนองนโยบายรัฐบาล และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณชายแดนให้กลับมามีความปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและปกติสุข

@@@……ที่กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) โดยหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี (ฉก.นย.จันทบุรี) จับกุมบุคคลต้องสงสัย 3 คน เป็นชาวอูกันดาบริเวณใกล้ด่านบ้านแหลม และชาวจีนอีก 17 คน บริเวณใกล้ด่านผักกาด ที่พยายามลักลอบออกจากราชอาณาจักรเพื่อข้ามไปยังประเทศกัมพูชา จากการสวนปากคำเบื้องต้นพบว่าทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์ข้ามชาติ และตรวจพบการใช้เอกสารเดินปลอม จึงควบคุมตัวส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการตามกฎหมายต่อไป กองทัพเรือยังคงดำเนินมาตรการเข้มงวดในการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจชายแดน เพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้า-ออกราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการกระทำผิดกฎหมายและอาชญากรรมข้ามชาติทุกรูปแบบ

@@@…….กองบัญชาการ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ….พล.อ. สิทธา มหาสันทนะ ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ให้การต้อนรับ และรับการเยี่ยมคำนับจาก Lt.Col. Gunther Demteitner ตำแหน่ง Lecturer and Seminar Leader for International Cooperation และคณะ จากสถาบัน Leadership Development and Civic Education Center, BUNDESWEHR กระทรวงกลาโหม สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ณ ห้องปราศรัยสันติ ชั้น 2 อาคารกองบัญชาการ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ

@@@…….ในการนี้ Lt.Col. Gunther Demteitner และคณะ ได้ร่วมบรรยาย และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในหัวข้อ “The Concept of Innere Führung” และ “AI-Driven Challenges for Command and Leadership in the 21st Century” กับข้าราชการ นักศึกษาหลักสูตรเสนาธิการทหาร และนักศึกษาหลักสูตรการปฏิบัติการร่วมของสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ณ ห้อง 421 อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ จากนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาในอนาคต โดยมี พลตรี นิรุจ ดวงปัญญา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็นหัวหน้าคณะในการหารือ ณ ห้องประชุมศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเห็นพ้องที่จะสานต่อ และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การวิจัยร่วม และการพัฒนาศักยภาพกำลังพลทางทหารในมิติวิชาการและจริยธรรม เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ และมิตรภาพอันดีระหว่างประเทศไทย และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี อันจะนำไปสู่ประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศในอนาคต

…………..

คอลัมน์  : “Military Key”

โดย.. “รหัสมอร์ส

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_img