“รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ตัดสินใจควบคุมการใช้เงินตาม มาตรา 28 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 หลังแผนการคลังระยะปานกลาง (2570-2573) ได้ มุ่งลดระดับการขาดดุลงบประมาณสู่ 3% ของจีดีพี ภายในปี 2572
หลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28ฯ ต้องดำเนินการใน 4 ข้อ คือ …
1.เป็นการดำเนินการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมาย
2.เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม
3.เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณตามปกติ รวมถึงไม่สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้
4.เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร ตามนัยมติ ครม.หรือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันสำหรับสินค้าหรือกิจกรรมใด ๆ ให้กับผู้ประกอบการ หรือประชาชนโดยตรง

นอกจากนี้ ต้องระบุเหตุผลความจำเป็นให้ชัด เช่นเดียวกับวัตถุประสงค์ซึ่งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนความมั่นคงแห่งชาติ และมติครม.ที่เกี่ยวข้อง พร้อมคำชี้แจงที่เหมาะสม และยังต้องแจ้งภาระทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นให้ชัดเจน
ต้องยอมรับว่า…ที่ผ่านมา หลายรัฐบาลได้ใช้ช่องทาง “มาตรา 28” เพื่อดำเนินนโยบายในการสนับสนุนเกษตรกร ที่ถือว่าเป็นฐานคะแนนเสียงที่สำคัญ
ขณะเดียวกันก็มีการมองกันว่า รัฐบาลมักใช้ช่องทางนี้ในการหยิบยืม “สภาพคล่อง” จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อให้จ่ายเงินในโครงการต่าง ๆ ไปก่อน แล้วรัฐบาลทยอยจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนให้
ที่สำคัญเงินจำนวนนี้ ไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเหมือนกับ พ.ร.บ.งบประมาณ ไม่ต้องรายงานต่อสภาฯ เหมือนกับการออก พ.ร.ก.และจำนวนหนี้ที่มีการกู้ยืมก็ไม่ต้องถูกบันทึกเป็นหนี้สาธารณะ
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเน้นย้ำ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติเรื่องการใช้งบประมาณตามมาตรา 28 เพื่อควบคุมความเข้มงวดในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ
แม้เวลานี้กรอบเพดานหนี้จะกำหนดไว้ที่ 32% แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่า เหลือพื้นที่ที่สามารถใช้ดำเนินการอุดหนุนโดยตรงได้ประมาณ 3% เท่านั้น
“หัวใจสำคัญ” ในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น การรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การสร้างการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
หากประเทศมีปัญหา? รายจ่ายมากกว่ารายรับ ต้องกู้ยืมเงิน หยิบยืมเงินในอนาคตมาใช้เป็นจำนวนมากติดต่อกันนานหลายปี ก็อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
ที่สำคัญ… ยังส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งประเทศ และทำให้ต้นทุนในการระดมทุนของภาคเอกชนอยู่ในระดับสูง และอาจกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้
แต่!!จนถึงทุกวันนี้ รัฐบาลยังต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการให้กับหน่วยงานของรัฐเป็นประจำทุกปี จากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่มีเพิ่มขึ้นทุกปี
ล่าสุดในปีงบประมาณ 2569 มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยให้กับหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสิ้น 58,249 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.54% ของงบประมาณรายจ่าย
ด้วยเหตุนี้… จึงทำให้ยอดคงค้างของภาระทางการคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 1.133 ล้านล้านบาท จากที่มีอยู่ 1.004 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2566
ภาระทางการคลังที่ว่า…ส่วนใหญ่มาจากโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่าแก่เกษตรกร ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้งที่โครงการเหล่านั้น ไม่ได้ช่วยสนับสนุน หรือ ยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตรใด ๆ
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีมติครม.ที่กำหนดหลักการ ให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการโครงการในลักษณะการให้เงินอุดหนุนช่วยเหลือชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร มาแล้วก็ตาม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลยังอนุมัติโครงการลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยปีงบประมาณ 2567 ได้อนุมัติโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า จำนวน 93,830 ล้านบาท

ขณะที่ในปีงบประมาณ 2568 ก็ได้อนุมัติอีก 89,103 ล้านบาท และยังต้องชดเชยต้นทุนเงินเพิ่มเติมอีก 17,000-18,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้กับ ธ.ก.ส.
ด้วยเพราะ ยอดคงค้างภาระทางการคลัง ในส่วนที่เป็นต้นเงินของโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า จนถึงสิ้นปีงบประมาณ 68 มีมากกว่า 8 แสนล้านบาท คิดเป็น 71.16% ของภาระทางการคลังทั้งหมด และคิดเป็นประมาณ 30% ของขนาดสินทรัพย์ ของ ธ.ก.ส.
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า หากไม่มีการกำกับดูแลในเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการที่เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่าเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ฐานะการคลังของประเทศย่อมมีปัญหาแน่นอน
ยิ่งเวลานี้ “รัฐบาลอนุทิน” ประกาศยุบสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงอยู่ในฐานะ “รัฐบาลรักษาการ” รอให้มีการเลือกตั้ง และจัดตั้ง “รัฐบาลใหม่”
ส่วน…“รัฐบาลรักษาการ” จะควบคุมได้มาก-น้อยแค่ไหน ก็เป็นอีกเรื่อง!! เพราะหากไม่ให้งบประมาณเลย ย่อมต้องกระทบกระเทือนฐานเสียงสำคัญ!!
……………………………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo



















