หากจำกันได้ ย้อนหลังไปเมื่อ 4 เดือนก่อน หรือประมาณเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา บรรดาภาคเอกชน โดยเฉพาะคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร. ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตสาเหตุค่าเงินบาทแข็งค่าเร็ว และรุนแรง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความผิดปกติบางอย่างในเรื่องของการส่งออกทองคำ โดยพุ่งเป้าไปที่การส่งออกไปยังกัมพูชา
พบว่าในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชา เป็นอันดับ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์
หากคิดเป็นมูลค่า ก็มีมากกว่า 2,149 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 68,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3% คิดเป็นสัดส่วน 28.2% เมื่อเทียบกับการส่งออกทองคำทั้งหมด ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก ทั้งที่กัมพูชาเป็นประเทศเล็ก
การออกมาเรียกร้องดังกล่าว ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญ เพราะมองกันว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของทุนสีเทาหรือไม่ ที่สำคัญ การส่งออกทองคำมากขึ้น ได้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป

“วิทัย รัตนากร” ออกมาบอกว่า เฉพาะเดือนธ.ค.นี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 2.5% ซึ่งมาจากปัจจัยสำคัญ ทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่า รวมไปถึงปัจจัยฤดูกาลของไทย ที่ช่วงท้ายปีมีเงินไหลเข้าทั้งท่องเที่ยว-ส่งออก-เงินทุน
ขณะเดียวกัน ยังมีเรื่องของการซื้อขายทองคำ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยในบางช่วงพบว่า การซื้อขายทองคำมีสัดส่วนมากถึง 20% ของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งหมด
เหนืออื่นใด? ที่สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับคนไทยไม่น้อยทีเดียว คือเรื่องของการดูแลการซื้อขายทองคำ ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานใด ๆ ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ ที่เป็นกระแสข่าวก็จะมีเพียงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือสคบ. ที่ใช้กฎหมายเข้ามาควบคุมดูแล เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ
โดยที่สคบ.ดูแล ก็เป็นเรื่องของการติดฉลากแสดงรายละเอียดสินค้าที่ถูกต้องและชัดเจน เช่น เปอร์เซ็นต์ทอง (96.5% หรือ 99.99%) น้ำหนักทอง ค่ากำเหน็จ รวมไปถึงโลโก้ของผู้ผลิต
เช่นเดียวกับการรับซื้อคืนทองรูปพรรณที่ร้านเดิม โดยหักค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5% ของราคารับซื้นคืนทองคำแท่ง และการตรวจสอบไม่ให้ร้านทองโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวงผู้บริโภค
แต่ในแง่ของธุรกรรม การกำหนดราคาทองคำ แล้ว จะเป็นหน้าที่ของสมาคมค้าทองคำ ที่การประกาศราคาซื้อขายแต่ละครั้งอิงกับราคาทองคำในตลาดโลก เป็นหลัก
ปัญหาของทองคำ ที่กลายมาเป็นหนึ่งในการทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่วนหนึ่งก็มาจาก ราคาทองคำในปีนี้ปรับตัวขึ้นสูงมาก แถมยังมีความผันผวนมาก
ล่าสุด…ราคาทองคำ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีการเคลื่อนไหวไม่มาก เพียงแค่ 10 ครั้ง รวมแล้วปรับลดลงประมาณ 50 บาท โดยทองคำแท่ง รับซื้อที่ บาทละ 64,300 บาท ขายออกที่ 64,400 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อที่ 63,020.12 บาท ขายออกที่ 65,200 บาท ไม่รวมค่ากำเหน็จ

ขณะที่ค่าเงินบาท ก็แข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกัน โดยปิดตลาดที่ 31.47 บาทต่อดดอลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากช่วงเปิดตลาด ที่อยู่ที่ระดับ 31.49 บาท และยังแข็งค่าจากต้นปี ที่อยู่ระดับ 34 บาท ซึ่งหนักหนาสาหัสเอาการ
ด้วยเหตุนี้ แบงก์ชาติ ได้ขอให้กระทรวงการคลัง ลงมาเป็นเจ้าภาพ เพื่อกำกับดูแลการทำธุรกรรมทองคำ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มซื้อขายทองออนไลน์ ซึ่งมีผู้ค้าทอง 15 ราย รวมมูลค่าธุรกรรมซื้อขายในตลาด 50% ต่อจีดีพี
ที่น่าสนใจมากกว่านั้น…พบว่า ใน 15 ราย มี 3-4 รายขนาดใหญ่ที่ต้องติดตาม !!
เมื่อร้านทองรายใหญ่ขายดอลลาร์ซื้อเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า จึงควรให้มีหน่วยงานมากำกับดูแลธุรกิจทอง เนื่องจากหากเกิดความผิดปกติอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่กับระบบเศรษฐกิจและประเทศไทยได้
แม้แบงก์ชาติจะพุ่งเป้า ปักธง ไปที่ธุรกรรมทองคำ แต่ก็ยังไม่วาย ที่มีข้อถกเถียง ข้อสงสัยกันว่า มีเพียง “ทองคำ” เท่านั้นหรือ? ที่อาจกลายเป็นช่องทางของการฟอกเงินของทุนเทาและแก๊งสแกมเมอร์ แล้ว! เงินดิจิทัล ที่ลอยฟ่องอยู่ในอากาศ ล่ะ? มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน?
ขณะที่แบงก์ชาติย้ำว่า เรื่องการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล USDT ไม่มีผลโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท อย่างที่มีบางส่วนเข้าใจผิด แต่ก็ยอมรับว่า สกุลเงินดิจิทัล ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ต้องดูแล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำ กฎหมาย “Travel Rule” มาใช้ ที่ต้องอาศัยกฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบและเห็นถึงต้นทางของเงินดิจิทัลในแต่ละสกุล ว่ามาจากที่ใด เพราะจะแยกแยะได้ว่าเป็นเงินเทา เงินดี หรือเงินไม่พึงประสงค์
เอาเป็นว่า ณ เวลานี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ต้องเร่งเทคแอ็กชันให้รวดเร็ว เพราะวิวัฒนาการของนวตกรรมในแต่ละด้านต่างพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หากยังยึกยัก มองไม่ออก มองไม่ขาด สุดท้าย คนไทยนั่นแหละ ที่ต้องแบกรับปัญหา!
……………………………..
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo



















