ผ่านไปแล้วกับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลอนุทินเมื่อวันที่ 29 – 30 กันยายน 2568 ที่ผ่านมาเป็นอันว่าครม.ทำงานได้อย่างเป็นทางการกับการเริ่มต้นใช้งบประมาณประจำปี 2569 ถามว่าประชาชนสนใจนโยบายที่แถลงแค่ไหน …ก็คงไม่! เพราะชาวบ้านชาชินกับนโยบายของพรรคการเมืองที่เขียนผ่านตัวอักษรอย่างสละสลวย แล้วก็เล่นเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนครม.กันถี่ยิบขนาดนี้ 2 ปีกว่าๆเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 3 คน ดังนั้นในทางการเมืองใครจะมาใครจะไปตอนนี้ประชาชนไม่ได้สนใจเท่าแอคชั่นใครดีและโดนใจกว่า
เมื่อนายกฯอนุทินประกาศชัดเจนแล้วว่าเงื่อนไข และเงื่อนเวลาจะเป็นไปตาม MOA ที่ทำกับพรรคประชาชน จะไม่มีการพิรี้พิไร 4 เดือน คือ 4 เดือนเท่านั้น เพื่อไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ โดยให้นับการทำงานจากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรกไปชนวันที่ 31 มกราคม 2569 แล้วก็“ยุบสภาแน่นอน” เมื่อมีเวลาจำกัดขนาดนี้ผลงานรัฐบาลอนุทินต้องเป็นรูปธรรมจับต้องได้จริง เพราะพรรคอื่นนอกครม.ก็ต้องนำเสนอผลงานแข่งในเวลาเดียวกัน เพื่อชิงคะแนนเสียงกันคึกคัก
สำหรับกิจการพลังงานดูนโยบายที่รัฐบาลอนุทินปักมุดไว้ 5 ด้าน 15 นโยบาย เกี่ยวข้องกับพลังงานอยู่ 2 ด้าน ในส่วนของการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายผ่านค่าพลังงาน รวมไปถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานสีเขียวส่งตรงถึงบ้านประชาชน อย่างการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับภาคครัวเรือนและกิจกรรมทางการเกษตร เพื่อลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนฐานราก และสอดคล้องกับนโยบายใหญ่ของรัฐบาลในการผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และรับมือกับการค้าระหว่างประเทศรูปแบบใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดต้องมาทั้งในระดับครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม
ดังนั้นงานเน้นๆของ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงานที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ย่อมต้องสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลว่าเป้าหมายใหญ่ คือ การนำประเทศเข้าสู่ Net Zero 2050 แน่นอนว่าคิดทำโปรเจคใหม่คงไม่ทัน หาอะไรที่มีอยู่แล้วมาปัดฝุ่น และทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจะดีกว่า
นโยบาย QUICK BIG WIN และโครงการระยะยาว ของเขาจึงไม่มีอะไรว๊าว โฟกัสไปที่การเอาใจภาคประชาชนฐานรากอย่างเดินหน้าโครงการโซลาร์ภาคประชาชน 1,500 เมกะวัตต์ ชุมชนละ 5 เมกะวัตต์ 300 ชุมชน 15,000 ครัวเรือน และโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร 1,200 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 7 แสนไร่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร ,โครงการลดภาษีโซลาร์สำหรับครัวเรือนโดยนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจริงจากการติดโซลาร์ไม่เกิน 2 แสนบาทมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ ตั้งเป้า 90,000 ครัวเรือน และสนับสนุนโซลาร์ลอยน้ำที่ 3 เขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 1,638 เมกะวัตต์
ส่วนการวางโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไฟฟ้ามุ่งไปทำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ชงโดยกฟผ.เพื่อขยายสถานีจ่ายไฟฟ้าและสายส่งรองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น DATA CENTER ที่ต้องการไฟฟ้าสีเขียวและซื้อขายตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ อีกกิจกรรมที่รมว.พลังงานจะทำคู่กัน คือการเดินสายชี้เป้าให้ภาคอุตสาหกรรม ทำโครงการบริหารจัดการพลังงานโดยใช้กลไกเงินทุนหมุนเวียนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เมื่อเน้นงานส่งเสริมสนับสนุนแบบบวกๆอีเว้นท์เบาๆก็ต้องมา รมว.พลังงานประเดิมงานอีเว้นท์แรกในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 กับโครงการที่กระทรวงพลังงาน และกฟผ.ร่วมมือกับปั๊มน้ำมันต่างๆขายผลิตภัณฑ์ลดใช้พลังงานเพื่อให้ประชาชนหาซื้อง่ายๆ
ฟังภารกิจของรมว.พลังงานแล้วเน้นไปที่ไฟฟ้าเป็นด้านหลัก ซึ่งหัวใจสำคัญไม่ว่าจะทำโครงการไหนที่กระทบกับไฟฟ้าระบบใหญ่ต้องบรรจุเข้าไปในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) เพื่อล็อกเป้าหมาย ถ้าไม่ใส่แปลว่าทำไม่ได้
เรื่องนี้นายอรรถพล รมว.พลังงานทราบดี ถึงบอกในรัฐสภาในตอนท้ายว่า จะเร่งร่าง PDP 2026 ให้เสร็จใน 4 เดือนนี้ โดยกำลังหาคนมาเป็นประธานคณะกรรมการพยากรณ์และจัดทําแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศแทนนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ อดีตปลัดกระทรวงพลังงานที่ลาออกตามมารยาททางการเมือง และคงจะต้องมีอีกหลายคนลาออก เพราะเป็นคนจากรัฐบาลก่อน ตอนนี้รมว.พลังงานคนใหม่กำลังจัดหาคนมาแทนให้ครบ
สำหรับโครงการระยะยาวที่จะทำ และเป็นงานถนัดของรมว.พลังงานคนนี้ คือ โครงการระดับแสนล้านบาทอย่างโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) แต่ก็เป็นโครงการที่ต้องใช้เวลาแตะสิบปีถึงจะได้เห็น แต่นายอรรถพลตั้งใจจะให้โครงการนี้ออกจากจุดสตาร์ทในช่วง 4 เดือนนี้ให้จงได้ หลังโครงการเริ่มมา 2 ปีแล้วแต่ก้าวไม่ออก เพราะไม่มีกฎเกณฑ์มารองรับ โครงการนี้ได้จับมือกับญี่ปุ่นแล้วในการสำรวจแอ่งใต้ทะเลห่างออกจากฝั่ง 200 กม. เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสม แต่เรือสำรวจไม่สามารถทำงานได้
โครงการ CCS จริงๆแม่งาน คือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ส่วนกระทรวงพลังงานโดยกรมเชื้อเพลิงสนับสนุนด้านเทคนิค และหาพื้นที่ที่เหมาะสมมีศักยภาพที่จะทำโครงการ มีบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ทำโครงการนำร่องแห่งแรกของประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี โดยจะนำคาร์บอนไดออกไซด์อัดกลับเข้าไปในแหล่งกักเก็บใต้ดินในระดับความลึก 1,000 – 2,000 เมตร ตามแผนของปตท.สผ.จะสามารถเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 และทยอยเพิ่มไปจนถึงศักยภาพสูงสุดที่ประมาณ 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ใช้งบประมาณ 5 ปี ประมาณ 10,000 ล้านบาท
ส่วนประเด็นหินๆที่พรรคฝ่ายค้านเล่นหนักในวันแถลงนโยบายรัฐบาลเสมือนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างประเด็นหุ้นบางจากกับทุนเงาใหม่ ที่โยงมาถึงการสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในประเทศไทยและแหล่งอื่นๆ และเชื่อมโยงถึงการเมืองในประเทศและระหว่างเพื่อนบ้านนั้น แม้เป็นเรื่องเขย่าวงการพลังงาน เพราะเกี่ยวโยงมาถึงกิจการพลังงานของประเทศในวันนี้และวันหน้า แต่ดูท่าแล้วรมว.พลังงานคนนี้คงไม่พร้อมน้อมรับเผือกร้อน ขอโยนออกไปให้ไกลตัวก่อน ก็เรื่องมันใหญ่โตและร้อนแรงเกินไป เพราะการบ้าน 4 เดือนนี้ คือเวลาทำผลงานโดนใจชาวบ้านให้เป็นรูปธรรมเท่านั้น จะมาทำเรื่องร้อนๆให้เสียเวลาไปทำไม.
…………
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…”ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนโดย…บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน)












