หน้าแรกCOLUMNISTS“กำกับกิจการพลังงาน”อย่างไร ให้ Trust มา

“กำกับกิจการพลังงาน”อย่างไร ให้ Trust มา

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

สำหรับกิจการพลังงานแล้ว องค์กรออกกฎเกณฑ์และกำกับดูแลการดำเนินกิจการพลังงานของประเทศอย่างคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีบทบาทไม่น้อยต่ออนาคตของความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และความเป็นอยู่ของประชาชนฐานราก

นอกจากกกพ.ยุคใหม่ต้องทำงานเชิงรุก ติดตามเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแล และทำงานอย่างรวดเร็วในการออกใบอนุญาตต่างๆ ที่สำคัญ คือกำกับดูแลอย่างไรให้สมดุลทั้งความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการขยายกิจการพลังงานของประเทศอย่างเท่าถึงและเป็นธรรม และดูแลราคาพลังงานให้ประชาชน ซึ่งภารกิจหลังนี้ทุกรัฐบาลต่างมีโจทย์สำทับมาเหมือนๆกันให้พยายามหาแนวทางตรึงค่าไฟฟ้า หรือลดค่าไฟฟ้าได้ยิ่งดี

ยิ่งรัฐบาลอนุทินที่มีเวลาแค่ 4 เดือนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้รมว.พลังงานก็ประกาศแล้วว่า ค่าไฟงวดใหม่เดือน ม.ค.-เม.ย. 69 ยังคงให้ตรึงในอัตราเดิมที่ 3.94 บาทต่อหน่วย ซึ่งตัวเลขนี้กลายเป็น  magic number ไปเสียแล้ว

พอมีโจทย์แบบนี้ในทุกๆรัฐบาล และในทุกๆ 4 เดือนของการปรับค่าไฟ งานกกพ.จึงมุ่งไปที่การดูต้นทุนค่าไฟฟ้าในทุก 4 เดือน  ไปดูว่ามีต้นทุนตรงไหนโป่งอยู่ต้องเอาออก ซี่งก็ยอมรับว่าเป็นงานหินในตอนนี้ เพราะ กฟผ.และปตท.ยังมีภาระหนี้ค้างรับจากการตรึงค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (FT) รวมกว่า 8 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินเรียกคืนจากการลงทุนของ 3 การไฟฟ้าที่ไม่ได้เป็นไปตามแผน หรือ Claw Back ปัจจุบันเหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท จำเป็นต้องเก็บเผื่อไว้กรณีมีเหตุจำเป็น อาทิ ราคาพลังงานอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือค่าเอฟทีเคลื่อนไหวผิดปกติ เป็นต้น

แต่ก็ฝากไว้ว่านอกจากกกพ.จะคอยคุมเรื่องต้นทุนค่าไฟฟ้าในแต่ละงวดแล้ว กกพ.มีคนเก่งมากมายต้องช่วยมอนิเตอร์ภาพกิจการพลังงานของโลและประเทศระยะยาวด้วย เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลช่วยกดปุ่มเตือนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในระดับโลกที่สัมพันธ์กับการวางแผนพลังงาน เพื่อให้ไทยมีแผนที่ยึดหยุ่นสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ที่อาจเกิดได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสงครามจริง สงครามตัวแทน สงครามการค้า และสงครามน้ำลาย รวมไปถึงภัยพิบัติ ล้วนเป็นปัจจัยที่มากระทบกับก๊าซธรรมชาติ ที่เราใช้เป็นเชื้อเพลิงในสัดส่วน 58.23%    ( ณ เดือน ส.ค.68) แล้วกำลังผลิตในอ่าวไทยก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เข้ามาในสัดส่วนที่มากขึ้นขณะที่ราคาผันผวน

การบริหารจัดการพลังงานในเวลานี้อยู่ที่การบริหารความเสี่ยง ดังนั้นการทำแต่ภารกิจเฉพาะหน้าตักอยู่คนเดียว และทำแบบเดิมๆคงไม่ได้แล้ว ต้องรวมพลังกันทำโดยมองเป้าหมายเดียวกัน

วันก่อนดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ก็บอกในเรื่องการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในเรื่องการดูแลการจัดหา LNG ไม่ให้ต้นทุนวิ่งขึ้นสูง โดยได้กำชับ Shipper หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตการเป็นผู้ประกอบการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติกระจายแหล่งจัดหา  LNG  ไม่ให้กระจุกตัวอยู่ที่แหล่งตะวันออกกลาง อาจไปจัดหาที่ออสเตรเลีย หรือมาเลเซีย เป็นต้น เพราะหากยามใดมีการรบกันขึ้นมาช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือเพื่อส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลางปิดตัวลง ก็จะได้ไม่เดือดร้อนสาหัส มีก๊าซฯจากแหล่งอื่นๆมาใช้ได้ รวมถึงกำชับโรงไฟฟ้าทั้งของกฟผ. และโรงไฟฟ้าเอกชนสำรองดีเซลไว้ด้วย เพื่อให้สามารถเดินเครื่องยามฉุกเฉินได้ราวๆ 15 วัน 

อย่างไรก็ตามนอกจากช่วยโฟกัสเรื่องนี้แล้ว ก็ย้ำให้ดูในเรื่องระยะยาวอื่นๆไปด้วย หาช่องทางใหม่ๆที่ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้หลายฝ่ายได้เสนอแนวทางน่าสนใจไว้อย่าทิ้งข้อเสนอเหล่านี้ไปง่ายๆประกอบด้วย 1.ให้ใช้วิธีการประมูลราคาก๊าซที่ใช้ผลิตไฟฟ้า (Pool Gas) โดยให้ Shipper ที่สามารถจัดหาในราคาต่ำที่สุดได้รับการจัดสรรปริมาณมากสุด เพื่อให้ราคาก๊าซฯสะท้อนกลไกด้านราคา จากปัจจุบันกำหนดราคาเพดานให้นำเข้าตามแผนที่เสนอ

2.โครงสร้างค่าผ่านท่อและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้สะท้อนการใช้งานจริงที่เกี่ยวข้องกับภาคไฟฟ้าโดยตรง 3. แยกบัญชี LNG Terminal ทั้ง 3 แห่ง เพื่อไม่ให้ต้นทุนในการสร้าง และแปรสภาพก๊าซฯ โดยเฉพาะ LNG Terminal 3 ที่เพิ่งสร้างใหม่ถูกส่งผ่านอย่างไม่เป็นธรรมในรูปค่าไฟ ส่งผลกระทบต่อประชาชน

4.ปรับปรุงการคิดค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment :AP) ที่พูดกันมานานแต่ยังแตะไม่ได้เสียที ซึ่งอัตราที่จัดให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบแม้ไม่ได้เดินเครื่อง ซึ่งการให้ AP มาจากพื้นฐานความคิดในอดีตที่ต้องการจูงใจให้เอกชนมาผลิตและขายไฟฟ้าเข้าระบบ แต่ผ่านมาหลายสิบปีเหตุการณ์เปลี่ยนไปแล้ว และเศรษฐกิจก็ฝืดแบบนี้ ​ประชาชนถามหาประสิทธิภาพ ถามหาความคุ้มค่า ถามหาความโปร่งใส และถามหาความเป็นธรรม จึงตั้งข้อกังขาว่ามานานว่าค่า AP สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนเกินไปหรือไม่ แต่แน่ๆส่งผ่านมายังค่าไฟฟ้าที่เก็บกับประชาชนมาเนิ่นนาน

อีกเรื่องที่ต้องฝากให้กกพ.ช่วยดู คือ การส่งเสริมไฟฟ้าสีเขียว ทำอย่างไรต้องไม่เป็นภาระกับระบบไฟฟ้ามากเกินไป ซึ่งตอนนี้เรามีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ 20.02% และจะไปเกิน 50% ในปี 2580 หรืออาจเร็วกว่านั้น ประเด็น คือ การเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้าระบบในอนาคตต้องโปร่งใส และราคาเป็นธรรมกับประชาชน ก็เมื่อต้นทุนการผลิตลด และมีผู้ผลิตไฟฟ้าเสนอขายเข้าระบบมากมาย ต้องเปิดให้แข่งขันราคามากกว่ากำหนดราคาให้ แล้วการพิจารณาก็เป็นเรื่องลับๆ

ส่วนการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวรอบที่ผ่านมา สำเร็จกิจไปแล้ว คงไม่มีใครไปแก้ไขอะไรได้ เพราะเกรงเอกชนฟ้องร้องค้ำคอกันอยู่ ทั้งบิ๊กล็อตเฟส 1 ที่มีปริมาณไฟฟ้ารับซื้อรวม 4,852.26 เมกะวัตต์ดำเนินการไปเมื่อปี 2566 ทยอยลงนามสัญญาซื้อขายกับกฟผ.ไปแล้ว ส่วนเฟส 2 จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ซึ่งรมว.พลังงานคนก่อน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคสั่งเบรกไว้นั้นทำท่าว่าคงจะได้ไปต่อ เพราะรมว.พลังงานคนใหม่ไม่แตะขอเล่นส่วนที่เหลือ 1,500 เมกะวัตต์ที่จะนำมาจัดสรรเป็นโซลาร์ประชาชน

ต่อเนื่องมาถึงโครงการ Direct PPA  (Direct Power Purchase Agreement) หรือการเปิดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าสีเขียวโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มธุรกิจ Data Center จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติที่จะลงทุน แต่มีบริษัทไทยที่เป็นบิ๊กเนมในธุรกิจพลังงานขยายมาทำ Data Center ด้วย

โครงการนี้รมว.พลังงานเองก็กำลังหมายมั่นปั้นมือจะนำมาเป็นตัวโชว์ผลงาน เพราะได้ทั้งภาพ และเม็ดเงินลงทุน ตามตัวเลขคาดการณ์ไว้ว่าโครงการ Direct PPA ที่จะเปิดให้ซื้อขายกันที่ 2,000 เมกะวัตต์ จะมากระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 65,000 ล้านบาท ลดการปล่อย CO2 ได้กว่า 1.66 ล้านตันคาร์ไดออกไซด์ต่อปี

โครงการนี้กำลังถูกระดมสรรพกำลัง เพื่อกดปุ่มโครงการให้ได้ในเดือนธันวาคมนี้ ณ ตอนนี้อยู๋ในขั้นตอนการสรุปกฎเกณฑ์แนวทางขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) และจัดทำอัตราค่าบริการสำหรับการใช้และการเชื่อมต่อระบบ ซึ่งจะประกอบด้วย ค่าบริการผ่านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า  หรือค่าผ่านทาง (Wheeling Charge) ค่าบริการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Connection Charge) ค่าบริการด้านความมั่นคงของระบบ (Ancillary Services Charge) ค่าปรับในการปรับสมดุล หรือบริหารปริมาณไฟฟ้า (Imbalance Charge) รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านนโยบายภาครัฐ (Policy Expenses)

ค่าบริการทั้งหมดนี้ Data Center ขอราคาถูกที่สุด นอกจากนั้นยังขอต่อเชื่อมไฟฟ้าจากระบบมาสแตนด์บายด้วย เพื่อให้มีไฟฟ้ามั่นคงป้อนให้ตลอดเวลาที่ต้องการ ซึ่งธุรกิจนี้ใช้ไฟฟ้ามหาศาลจะมาตกๆดับๆไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จึงหวังว่าจะไม่เป็นการเอาระบบใหญ่ไปค้ำจุนความมั่นคงให้กับธุรกิจ Data Center มากจนเกินงาม ขอให้กกพ.ช่วยทำหน้าที่บาลานซ์อีกแรงด้วย

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นยังมีอีกหลายภารกิจที่ประชาชนฝากความหวังไว้กับกกพ.ทั้งผู้ที่เป็นกกพ.ปัจจุบัน 3 คน และผู้บริหารสำนักงานกกพพ.ทุกคน รวมถึงกกพ.ใหม่อีก 4 คนที่รมว.พลังงานกำลังเร่งกระบวนการสรรหา หากคนใหม่เป็นน้ำดี มือสะอาด มีผลงาน ทำงานอย่างโปรงใส่ ร่วมกับผู้บริหารปัจจุบันที่ต่างยืนข้างประชาชนจริงๆ Trust จะมาเอง

……….

คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน

โดย…”ศรัญญา ทองทับ”

สนับสนุนโดย…บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_img