การปรับโครงสร้างพลังงาน รองรับการเปลี่ยนผ่าน ไม่ได้มีเฉพาะภาคไฟฟ้า กิจการน้ำมันก็ต้องปรับไม่น้อย นอกจากการเปลี่ยนผ่านจากรถใช้น้ำมัน เป็นใช้ไฟฟ้าที่วิ่งบนท้องถนนเพิ่มขึ้น ยังมีการปรับแนวทางการส่งเสริมและการลดการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงชีวภาพด้วย เพราะสนับสนุนกันมานานหลายปี
ถือเป็นแนวคิดเริ่มต้น ที่ต้องการให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองในด้านพลังงาน และลดมลพิษ
จากขวบปีแรกที่เริ่มขายแก๊สโซฮอล์ในปั้มปตท.บริเวณสำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิตเมื่อปี 2544 ผ่านช่วงตั้งไข่มา 44 ปีแล้ว เชื้อเพลิงชีวภาพเดินหน้าได้ด้วยกลไกการตลาด การคุ้นชินและยอมรับของผู้บริโภค และแรงผลักดันจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคขนส่ง
ดังนั้น การอุดหนุนต่าง ๆ ผ่านกลไก “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” จึงต้องลดลงตามลำดับ ซึ่งได้เขียนไว้ในพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 เลยว่า กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันไบโอดีเซล ภายในวันที่ 24 กันยายน 2567 สามารถผ่อนผันได้อีก 2 ปี สิ้นสุดในวันที่ 24 กันยายน 2569 เมื่อถึงเวลานั้น กองทุนน้ำมันฯ จะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือใด ๆ ได้อีก
“กระทรวงพลังงาน” กำลังดูอยู่ว่า หน้าตาของชนิดและราคาน้ำมันในปั๊มหลังจากนั้นควรต้องเป็นอย่างไร ซึ่งกำลังถูกออกแบบใหม่และใส่ไว้ใน (ร่าง) แผน Oil Plan ที่กำลังทำ

ในร่างแผน Oil Plan จริง ๆ รับฟังความเห็นมาตั้งแต่ 28 มิถุนายน 2568 แต่ยังไม่ลงตัวในหลายประเด็น เรื่องหนึ่งคือ ยังไม่ฟันธงออกมาต่อสาธารณะ ว่าระหว่าง แก๊สโซฮอล์ E 10 (ออกเทน95) และ แก๊สโซฮอล์ E20 อะไรจะเป็นน้ำมันพื้นฐาน และจะลดชนิดของกลุ่มน้ำมันเบนซินอย่างไร
จากปัจจุบันมีจำหน่ายทั้ง แก๊สโซฮอล์ 95 แก๊สโซฮอล์ 20 แก๊สโซฮอล์ E85 แก๊สโซฮอล์ 91 และเบนซิน 95 ที่ฟันธงกันไม่ได้ เพราะมีปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป แน่ ๆ คือ ในส่วนของแก๊สโซฮอล์ 91 ที่มีแผนจะยกเลิกการจำหน่ายในปลายปีนี้ ก็เลื่อนออกไป 1 ปี ดูจากยอดการใช้ยังเยอะอยู่ที่ 6.65 ล้านลิตรต่อวัน สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจาก “ส่วนต่างราคา” ก็ทำไปทำมาแก๊สโซฮอล์ 95 แพงกว่า 37 สตางค์ต่อลิตร หรืออยู่ที่ 31.85 บาทต่อลิตร ขณะที่แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 31.48 บาทต่อลิตร
เนื่องจากเศรษฐกิจบีบรัด แบบนี้หลายคนก็ต้องเลือกทางที่ประหยัด 5 บาท 10 บาทก็เก็บหมด ก็เลยเติมแก๊สโซฮอล์ 91 ไปเรื่อย ๆ ตราบที่ยังมีให้เติม
นอกจากชนิดน้ำมันแล้ว ก็ต้องจับตาดูด้วยว่า โครงสร้างราคาของน้ำมันแต่ละชนิด จะเป็นอย่างไรหลังวันที่ 24 กันยายน 2569
เพราะมีข่าวว่า กระทรวงพลังงานได้รับการบ้านมาจากไหนไม่ทราบได้ ว่าจะให้ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินทุกชนิดมีราคาเดียวกันทั้งหมดหลังจากยกเลิกการชดเชย โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ 95 แก๊สโซฮอล์ 20 แก๊สโซฮอล์ E85
แต่ดูแล้วก็ คงทำไม่ได้ง่าย ๆ เพราะ “ต้นทุนน้ำมันแต่ละชนิด” แตกต่างกัน และ “ความต้องการใช้” ก็แตกต่างกัน จึงไม่แน่ใจว่าแนวคิดนี้มาจากใคร? และมีเหตุผลใด? ที่ราคาน้ำมันแต่ละชนิด “ต้องเท่ากัน” ด้วย หากทำจริง ต้องมาดูสต็อกน้ำมันกันให้ดี แบบนำ “ของถูก” มา “ขายแพง” ก็อาจเกิดขึ้นได้
ส่วน “น้ำมันดีเซล” ลงตัวไปแล้วที่ให้ “ดีเซลหมุนเร็วธรรมดา” ที่มีส่วนผสมไบโอดีเซล 7% โดยปริมาตร เป็นน้ำมันดีเซลฐานของประเทศ มีผลใช้บังคับไปตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 จะเหลือก็แต่การลดระดับการตรึงราคาดีเซล ซึ่งสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ทำแผนวิกฤติการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงปี 2568-2572 ฉบับใหม่นำเสนอ “รมว.พลังงาน” ให้ทบทวนกรอบราคาจำหน่ายดีเซล จากเดิมเคยกำหนดไม่ให้ราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร เป็น 33 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาพลังงานสูงขึ้น ซึ่ง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ราคาดีเซลหน้าปั๊มอยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตร เป็นน้ำมันชนิดเดียวที่กองทุนน้ำมันฯ ยังใช้เงินอุดหนุนอยู่ 70 สตางค์ต่อลิตร
มาถึงงานประจำของกระทรวงพลังงาน อย่าง การปรับราคาน้ำมันให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลก ก่อนหน้าเคยมีความพยายามจาก “รมว.พลังงานคนก่อน-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ให้ปรับราคาน้ำมันเดือนละครั้งพอ เพื่อให้ราคามีเสถียรภาพไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ บ่อย ๆ เหมือนค่าไฟฟ้าปรับ 4 เดือนครั้งทำนองนี้ แต่ทำไป-ทำมา แนวคิดนี้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะถูกต่อต้านหนัก ทั้งจากหน่วยงานภายในกระทรวงและผู้ประกอบการบางส่วน จากการอ้างเหตุที่ว่า ผู้ประกอบการซื้อน้ำมันล่วงหน้ากันเกือบทุกวัน ราคาน้ำมันผันผวนขึ้นลง การปรับราคาเดือนละครั้ง หมายถึงผู้ประกอบการต้องมีสายป่านยาวพอ

เมื่อมีการเปลี่ยนยุคสมัย “รมว.พลังงานคนใหม่-อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ผู้คร่ำหวอดกับวงการน้ำมันมานาน ก็ทำให้ทุกอย่าง เข้าสู่ภาวะปกติ เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่กระทรวงพลังงาน ราคาน้ำมันก็ปรับไปให้สอดคล้องกับตลาดโลกโดยดูเทรนด์ราคา 3 วันเฉลี่ย กำหนดให้ค่าการตลาดกับผู้ประกอบการเฉลี่ย 2 บาทต่อลิตร ปรับขึ้นให้ช้า-ปรับลงให้เร็วเข้าไว้
และตอนนี้กำลังปรับตารางโครงสร้างราคาน้ำมัน ที่เรียกว่า “ตารางส้ม” ที่แสดงตัวเลขรายวัน ว่าในเนื้อน้ำมันประกอบด้วยต้นทุนอะไรบ้างและเท่าไหร่ ประกาศโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) โดยกำลังปรับต้นทุนให้อ้างอิงคุณภาพน้ำมันเป็นระดับยูโร 5 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 แทนยูโร 4 ก็เมื่อคุณภาพน้ำมันดีขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น ผู้ประกอบการก็เลยเรียกร้องให้ทบทวนตัวเลขต้นทุนให้เหมาะสมพร้อมปรับตารางส้มเสียใหม่ให้สะท้อนต้นทุนจริงและค่าการตลาด
ส่วน การสำรองน้ำมันของประเทศ ที่ “รมว.พลังงานคนเก่า” ทุ่มพลังงาน แต่ผู้เดียวไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น เป็นปีที่ใช้เวลาไปกับการร่างกฎหมายสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) ของภาครัฐ 90 วัน ซึ่งตลอดทางของการร่างกฎหมายหน่วยงานพลังงาน ไม่มีใครเห็นด้วย เมื่อ “รมว.พลังงานคนใหม่” ซึ่งประกาศเลยว่า ไม่สานต่อความคิดของรมว.คนก่อนแน่ ๆ ก็มีอันว่า ร่างกฎหมายนี้แท้งไป
ความจริงแล้ว แนวคิดการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ 90 วัน เป็นเรื่องที่ดีถ้าทำได้ มาจากความพยายามที่จะแยกสำรองของรัฐกับสำรองของเอกชน ออกจากกันอย่างชัดเจน เพราะมองว่า ความมั่นคงด้านพลังงาน จริง ๆ ต้องอยู่ในมือรัฐ รัฐต้องควบคุมได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นความมั่นคงจริง
ขณะที่ “คนวงการพลังงาน” ถือว่า “เอกชน” คือส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนกิจการพลังงานประเทศ เท่ากับเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของประเทศ และที่ผ่านมา ขอความร่วมมือเอกชนอะไรไป ก็ให้ความร่วมมือ จึงคิดว่าการนับสำรองของเอกชน เป็นสำรองของประเทศก็ดีอยู่แล้ว รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณมหาศาล เพื่อสร้างคลังเก็บน้ำมันของรัฐ ที่สร้างคลังก็หายากการบริหารจัดการก็ยาก โดยสำรองน้ำมันจากคลังของเอกชนเขาสำรองอยู่แล้ว 60 วัน นับรวมเรือที่กำลังลอยลำเข้ามาเติมอีก 30 วัน แล้วก็มียอดสั่งซื้อล่วงหน้าอีก ทั้งหมดถือว่า เป็นน้ำมันของประเทศและมองกันว่าเพียงพอแล้ว

ที่สำคัญการสุ่มเสี่ยงว่า จะขาดแคลนน้ำมันไม่มีอยู่จริง การทำสงครามกันและขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางเดินเรือที่สำคัญในการนำน้ำมันดิบออกจากตะวันออกกลางไม่มีอยู่จริง “ไม่มีคำว่าขาดแคลน มีแต่ของแพง ขอให้มีเงินหาซื้อได้” ส่วนราคาน้ำมันที่ว่าผันผวน เอาจริงก็มีทั้งขึ้น-ทั้งลง อยู่ที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์จะมาช่วยปั่นราคากัน ไม่ใช่จะพุ่งลอยสูงตลอด โดยในปี 2569 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2568 เสียด้วยซ้ำ น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 75-85 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และก๊าซ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 460-500 เหรียญสหรัฐฯ /ตัน
ราคาน้ำมันจะผันผวนยังไงก็ตามนั้น แต่เอาว่า แนวคิดฝากความมั่นคงทางพลังงานไว้กับเอกชน เป็นคนละขั้วกับ “พีระพันธุ์” ที่คิดว่า ไม่ควรฝากความมั่นคงของประเทศไว้กับภาคเอกชน จึงยืนคนละหลักการกับรัฐ แม้จะมี ปตท.อยู่ก็ตาม แต่ก็ถูกกันไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการรายหนึ่ง
แนวทางฝากความมั่นคงไว้กับเอกชน ตอนนี้ภาคไฟฟ้าซึ่งการผลิตไปอยู่ในมือเอกชนเกินครึ่ง ได้เกิดบทเรียนมาแล้วหลายครั้งหลายหน เกิดเหตุอะไรขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ จะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปถึงอนาคตแห่งหายนะของระบบไฟฟ้าประเทศไทย
…………………………………
คอลัมน์ : เข็มทิศพลังงาน
โดย…“ศรัญญา ทองทับ”
สนับสนุนโดย…บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน)


















