“…...จนถึงวันนี้ การจัดการต่อบริษัทเปลือก หรือบริษัทนอมินี และบัญชีม้านิติบุคคลล่าสุดของไทย มีการยกระดับมาตรการอย่างเข้มข้น โดยมุ่งเน้นการป้องกันก่อนการจดทะเบียน และใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่เรียกว่า ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคลอัจฉริยะ…”
@@@…….สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน พบกันทุกวันเสาร์กับคอลัมน์ “Military Key” ทางเว็บไซต์ https:// thekey.news ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 8 พ.ย.68 ห้วงเวลาที่ผ่านมา และจากนี้ไป กระแสการจัดการขั้นเด็ดขาดกับธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย กำลังพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง
@@@……การปราบปราม “ธุรกิจสีเทา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับ บริษัทเปลือก หรือ บริษัทนอมินี และ บัญชีม้า คือ ประเด็นสำคัญที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย กำลังดำเนินการอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง .. ภาพรวมการปราบปราม ประกอบไปด้วย ตำรวจสอบสวนกลาง CIB คือ หน่วยงานหลัก และเป็นหนึ่งในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสำคัญที่ปฏิบัติการกวาดล้างอย่างเข้มข้น มีการเปิดปฏิบัติการหลายครั้ง เช่น ปฏิบัติการ “รื้อระบบสยบจีนดำ” และ “ขยี้ดวงใจทศกัณฐ์” เพื่อยึดทรัพย์บริษัทนอมินี และตัดเส้นทางการเงินสีเทา โดยมุ่งเป้าไปที่การจับกุมขบวนการจัดหาบัญชีม้า และการทลายบริษัทนอมินีที่กลุ่มอาชญากรรมใช้เป็นฉากหน้าในการฟอกเงิน และดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น ซึ่งมูลค่าความเสียหายนั้น พบว่า การโอน และฟอกเงินสีเทาผ่านเส้นทางบัญชีม้า มีมูลค่าสูงถึงหลักมากกว่าร้อยล้านบาทในหลายคดี
@@@……. อย่างไรก็ตาม การจัดการบัญชีม้า ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD ได้ร่วมมือกันยกระดับการตรวจจับ และจัดการบัญชีม้า รวมถึงการยกระดับการตรวจจับด้วยการการแชร์ข้อมูลรายชื่อบัญชีม้าระหว่างธนาคาร และจัดทำฐานข้อมูลเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่มีชื่อเป็นบัญชีม้าสามารถเปิดบัญชีใหม่ หรือจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลได้มาพร้อมด้วย ขณะที่ กลุ่มมิจฉาชีพหันไปใช้ คริปโทเคอร์เรนซี ในการโอนเงินหนีการตรวจสอบมากขึ้น เนื่องจากติดตามเส้นทางได้ยาก ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหาแนวทางรับมือ ดังนั้น จึงได้มีมีการปรับปรุงกระบวนการแจ้งความผ่าน AOC 1441 เพื่อให้ผู้เสียหายสามารถแจ้งเหตุ และเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถระงับบัญชีธนาคารไปแล้วเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเมื่อสิ้นปี 2567 สามารถระงับบัญชีธนาคารที่เป็นบัญชีม้า มากถึง 1.75 ล้านบัญชี จากผู้คนคน 1.34 แสนรายชื่อ
@@@…….ตลอดจนมีการทลายเครือข่าย, จับกุมเอเย่นต์ขายบัญชีม้า และยึดทรัพย์บริษัทนอมินีหลายสิบบริษัทฯ เป็นต้น ทั้งนี้ ในแต่ละคดีที่ถูกทลายลงไปแล้ว มีการระบุถึงเงินหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอย่างมหาศาล เช่น เครือข่ายบัญชีม้านิติบุคคลบางกลุ่ม มีเงินหมุนเวียนสูงถึง 5,000 ล้านบาท อีกทั้งมูลค่าความเสียหายจากเครือข่ายบัญชีม้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกทลายในเดือนที่ผ่านมา บางกรณีมีมูลค่าความเสียหายต่อเหยื่อกว่า 160 ล้านบาท และภาพรวมการยึดทรัพย์ พบว่า การปราบปรามโดยรวมในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้น มีการยึดอายัดทรัพย์สินจากคดีสแกมเมอร์ไปแล้วเป็นมูลค่า กว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขสะสมจากหลายคดีใหญ่ ๆ ที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจากการขยายผล
@@@…….จนถึงวันนี้ การจัดการต่อบริษัทเปลือก หรือบริษัทนอมินี และบัญชีม้านิติบุคคลล่าสุดของไทย มีการยกระดับมาตรการอย่างเข้มข้น โดยมุ่งเน้นการป้องกันก่อนการจดทะเบียน และใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่เรียกว่า ‘ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมนิติบุคคลอัจฉริยะ Intelligence Business Analytics System: IBAS’ ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD กระทรวงพาณิชย์ พัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลักในการตรวจจับ และปราบปรามธุรกิจนอมินี โดยใช้เทคนิค Big Data ในการรวบรวม และวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่ผิดปกติของนิติบุคคล โดยเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึกจากหลายหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมสรรพากร, กรมที่ดิน, และสำนักงานป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. โดยเฉพาะการตรวจสอบธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์ และ e – Commerce โดยมีการเปิดเผยว่า ข้อมูล ณ ประมาณกลางปี 2568 ที่ผ่านมา มีการปราบปรามบริษัทนอมินีไปแล้วมากกว่า 861 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 15,296 ล้านบาท
@@@…….ปัจจุบัน 14 หน่วยงานของไทย ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ MOU เพื่อ ป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และการฟอกเงิน ซึ่งรวมถึงการจัดการธุรกิจสีเทา บัญชีม้า และบริษัทเปลือก หรือบริษัทนอมินี ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการเงินที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สตช., กระทรวงยุติธรรม, กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI, สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ป.ป.ท., กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม MDES, กระทรวงมหาดไทย รวมถึง กรมการปกครอง และการบริหารส่วนท้องถิ่น, กระทรวงการคลัง, กระทรวงการต่างประเทศ, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท., สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต., สมาคมธนาคารไทย และสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งถือเป็นการผนึกกำลังของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนของไทย เพื่อร่วมกันยกระดับเป็นวาระแห่งชาติสำหรับการปราบปรามธุรกิจสีเทา บริษัทเปลือก บัญชีม้าอย่างจริงจังจากนี้ไป
@@@…….ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจว่า การผนึกกำลังรวมกันของ 14 หน่วยงานนี้ จะสามารถปิดช่องโหว่ และ ยกระดับการสกัดกั้น ภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ โดยแต่ละหน่วยงานมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงข้อมูล ตลอดจนการทำงานร่วมกันนี้ จะทำให้การติดตาม และตัดวงจรธุรกิจสีเทาจากต้นน้ำ เช่น การจดทะเบียน และการสื่อสาร สู่ปลายน้ำ ได้แก่ การฟอกเงิน และการจับกุม มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมา รวมทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคมของไทยก็จะได้รับการประกันได้สำเร็จในที่สุด

@@@…….กองทัพภาคที่3/ศูนย์ปฏิบัติกองทัพภาคที่3…. พล.ต.ไมตรี ชูปรีชา ผู้บัญชาการกองกำลังนเรศวร พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6,ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู, ผู้กำกับการตำรวจสถานีตำรวจภูธรแม่สอด, และ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่35 ร่วมกับ ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เขต 36 ลงพื้นที่ติดตามมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยี พื้นที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ได้แก่ บริเวณ บ้านวังตะเคียน ฝั่งตรงข้ามเป็นเมียวดีคอมเพล็กซ์ และ บ้านท่าวังผา ฝั่งตรงข้ามชเวก๊กโก ตามที่รัฐบาลมีนโยบายกำหนดให้ปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือ สแกมเมอร์ (Scammer) เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบการให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์บริเวณใกล้แนวชายแดน ไม่ให้เกิดการลักลอบใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตของคนร้ายเพื่อนำไปกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

@@@…….ทั้งนี้ กสทช. ได้มีมติกำหนดมาตรการระงับบริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง รวมถึงได้ออกประกาศ สำนักงาน กสทช. เรื่อง มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสำหรับผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ซึ่งมีผลบังคับไปเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2568 โดยได้กำหนด 8 มาตรการเพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนและป้องกันยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ กสทช.จะมีการลงพื้นที่ในบริเวณพื้นที่ชายแดนเข้มข้น หากตรวจพบผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ดำเนินการตามมาตรการ และกฎหมาย ต่อไป

@@@…….ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้เผยถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาที่สำคัญ หลังจากที่ทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ความขัดแย้งตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ได้ตกลงร่วมกันว่า การถอนอาวุธหนักในขั้นที่ 1 ได้แก่ อาวุธประเภทจรวด ยังคงเป็นไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนของทั้งสองประเทศเข้าติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในส่วนของการเก็บกู้ทุ่นระเบิดก็มีความคืบหน้าเช่นกัน ตามที่กองบัญชาการกองทัพไทย โดย TMAC ได้ออกมาชี้แจงให้ทราบเป็นระยะ ๆ สำหรับกำลังพลในส่วนของกองกำลังป้องกันชายแดน ทั้งในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ก็ยังคงวางกำลังและใช้มาตรการเฝ้าตรวจพื้นที่อย่างเข้มงวด เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันตามผลการประชุมทวิภาคีในทุกระดับ

@@@……โดยการเฝ้าตรวจพื้นที่ในห้วงที่ผ่านมา ที่บริเวณเนิน 677 ใกล้กับช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารทำการลาดตระเวนในพื้นที่ ได้ตรวจพบ ทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวน 2 ทุ่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเก็บกู้เป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ ในพื้นที่ด้านทิศตะวันตกของช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจพื้นที่ ได้ตรวจพบทหารกัมพูชาจำนวน 6 นาย นำไม้ไผ่มาวางขวางเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทย

@@@……โดยฝ่ายไทยจึงได้เข้าเจรจา ชี้แจงว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางลาดตระเวนตามปกติ หลังจากการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ฝ่ายกัมพูชาได้รื้อสิ่งขวางทางออก และเจ้าหน้าที่ไทยจึงได้ทำการลาดตระเวนต่อได้ตามปกติ ต่อมาชุดลาดตระเวนของไทยได้เข้าพื้นที่เดิมอีกครั้งเพื่อยืนยันความเรียบร้อย ซึ่งเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ ไม่มีการเข้ามาขัดขวางของฝ่ายกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้งนี้ กองทัพบกเข้าใจถึงลักษณะสถานการณ์ตามแนวชายแดนในขณะนี้ที่มีความละเอียดอ่อนและต้องอาศัยการประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการตามข้อตกลงจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม อันจะนำไปสู่การลดความขัดแย้งและสร้างความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่อาจส่งผลให้กระบวนการดังกล่าวต้องหยุดชะงัก ควรต้องมีความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง

@@@……จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย …..พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามใน บันทึกแสดงความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาด้านการศึกษา การวิจัย การพัฒนาความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ของบุคลากรและกำลังพลของกระทรวงกลาโหม กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ได้แก่ พล.อ. ธราพงษ์ มะละคำ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เสนาธิการทหาร, เสนาธิการกองทัพบก, เสนาธิการกองทัพเรือ และเสนาธิการกองทัพอากาศ ร่วมลงนามในฐานะพยาน

@@@……การลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างสองหน่วยงาน โดยมุ่งเน้น 1. การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงของชาติ 2.การส่งเสริมการบริหารจัดการด้านความมั่นคง และการป้องกันประเทศ 3.การพัฒนาบุคลากรและกำลังพลของทั้งสองหน่วยงาน ทั้งในด้านวิชาการและการปฏิบัติการ 4. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ 5.การแลกเปลี่ยนข้อมูลและทรัพยากรทางการศึกษา สื่อการสอน และการใช้ประโยชน์จากห้องสมุด 6. การผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ ระบบทหารกองประจำการแบบสมัครใจ พร้อมส่งเสริมการศึกษาควบคู่กับการฝึกอบรมของกองทัพ

@@@……พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการบูรณาการ ระหว่างภาครัฐและสถาบันการศึกษา เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางวิชาการของกำลังพล และพัฒนาองค์ความรู้ด้านความมั่นคง ให้สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงกลาโหมและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ จึงนับเป็นการสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร การวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนการพัฒนากำลังคนด้านความมั่นคงของชาติ ให้มีความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อย่างยั่งยืน
…………..
คอลัมน์ : “Military Key”
โดย.. “รหัสมอร์ส”






































