หน้าแรกCOLUMNISTS‘ศึกชิงอำนาจรัฐรอบนี้’ไม่มีใครยอมใคร? ‘ภท.’ดึง‘เอกนิติ-ศุภจี’ลุ้นคุมอำนาจรัฐต่อ

‘ศึกชิงอำนาจรัฐรอบนี้’ไม่มีใครยอมใคร? ‘ภท.’ดึง‘เอกนิติ-ศุภจี’ลุ้นคุมอำนาจรัฐต่อ

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ปี่กลองการเมือง…เริ่มดังอย่างต่อเนื่อง หลัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันที่ 8 ก.พ.69 เป็นวันเลือกตั้ง สส. ซึ่งถือเป็นการ “ช่วงชิงอำนาจรัฐ” ที่เข้มข้นและดุเดือดมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะเป้าหมายแต่ละฝ่ายมีเดิมพันสูง อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นไปของบางพรรคในอนาคต โดยมี 3 ขั้วทางการเมืองที่จะมีบทบาท มีส่วนรวมกับโอกาสได้เป็น “ฝ่ายบริหาร” หรือ “ฝ่ายค้าน” ในอนาคต

ขั้วการเมืองแรกใช้ “สีส้ม” เป็นสัญลักษณ์คือ“พรรคประชาชน” (ปชน.) ที่โพลทุกสำนักระบุว่า ได้คะแนนนิยมมากที่สุด หลังผิดหวังจากการเลือกตั้งเมื่อปี 66 ชนะการเลือกตั้งในนาม “พรรคก้าวไกล” (ก.ก.) ได้ สส. 151 เสียง แต่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค กลับไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะติดเงื่อนไขไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.)

ในที่สุดพรรคก้าวไกลก็มีอันเป็นไป ต้องถูกยุบพรรค จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) หลังมีนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จนกลายมาเป็นพรรคประชาชน ซึ่งจำต้องมีการเปลี่ยนแม่ทัพคนใหม่ ได้ “เท้ง-ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” มารับบทแม่ทัพ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการยุบสภา ก็มีเสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย หลังตัดสินใจนำพรรคยกมือสนับสนุน “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกรัฐมนตรี แลกกับการผลักดันการแก้ไข รธน. แต่ในที่สุดก็ไม่ไปถึงเป้าหมาย หลังต้องการตัดอำนาจ สว. ไม่ให้มีอำนาจ เห็นชอบการแก้ไข รธน.  จนทำให้ “อนุทิน” ตัดสินใจยุบสภา 

นำมาสู่เสียงวิจารณ์ ถึงความอ่อนหัดทางการเมืองของ “ณัฐพงษ์” หลังตัดสินใจยกมือสนับสนุนหัวหน้า ภท. โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย แถมยังทำให้ “ภท.” มีความเข้มแข็งมากขึ้น บรรดา “บ้านใหญ่” ทยอยเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรค แบบหัวกระไดไม่แห้ง จนกลายเป็นพรรคคู่แข่งสำคัญของ “ปชน.” ขณะที่แกนนำพรรคสีส้มตั้งเป้าหมาย ต้องได้เสียงเกินครึ่งของสภา (250 เสียง) ภายหลังเปิดแคนดิเดตนายกฯ เป็นพรรคแรก ตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย.68 เรียงตามลำดับ ประกอบด้วย 1.ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค 2.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค และ 3.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค  

จากนั้น “ณัฐพงษ์” กล่าวภายหลังการประกาศรายชื่อแคนดิเดตในตอนนั้นว่า “พรรคประชาชนได้พิสูจน์ศักยภาพจากการคว้าคะแนนอันดับ 1 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และในการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะไม่มีการใช้เสียงจาก สว. มาโหวตเลือกนายกฯ เหมือนที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดทิศทางผู้นำประเทศอย่างแท้จริง พรรคตั้งใจขอ “ใบอนุญาตที่ 1” จากประชาชนเป็นรัฐบาลพรรคเดียว โดยจะต้องได้คะแนนเกินครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คือ 20 ล้านเสียง เพื่อไม่ให้ถูกปฏิเสธ การเป็นรัฐบาลเหมือนครั้งที่แล้ว และจะเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจสมัยใหม่ เทคโนโลยี การบริหารจัดการภาครัฐที่โปร่งใส และโมเดลการพัฒนาที่ลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อว่าการเปิดตัวทีมแคนดิเดตชุดใหม่นี้ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและความหวังให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” พร้อมทั้งประกาศชัดเจนว่า “จะไม่ร่วมรัฐบาล หากพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล จะขอเป็นฝ่ายค้าน” 

ส่วนอีกขั้วการเมืองหนึ่ง ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลคือ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) แม้จะล้มเหลวจากการเป็นแกนนำรัฐบาล จากในห้วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ต่อเนื่องมาจนสมัย “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯ และมีการคาดหมายกันว่า ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง “พท.” อาจได้ที่นั่งสส. ไม่ถึง 100 คน แต่ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญ ที่เพิ่มเสียงให้พรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดย “พท.” เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ อย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้” ประกอบด้วย “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรค, “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผอ.การเลือกตั้ง และ “ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” อดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัย และวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

“จุลพันธ์” ระบุว่า บุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ในนามพรรคเพื่อไทยคือ นายยศชนัน แต่เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับสังคม นายยศชนันคือคนที่เราจะเสนอเป็นนายกฯ เมื่อเราประสบชัยชนะจากการเลือกตั้ง ส่วนอีก 2 คน ไม่ได้มีการเรียงลำดับ แต่มีความพร้อมในการทำงาน กรณีที่มีความจำเป็น ดังนั้นทั้ง 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้มีความพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำงานให้กับประเทศไทย

ขณะที่ “ยศชนัน” ประกาศอาสาแก้วิกฤตประเทศในทุกมิติ ผ่านการวางรากฐานประเทศให้มีรายได้สูง โดยเริ่มต้นจากจีดีพี ที่จะทําให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ รวมถึง การอัปเกรดเครื่องยนต์ที่มีอยู่ใน 3 ส่วน คือ ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคการบริการ ซึ่งถือเป็น 3 เสาหลักของจีดีพี โดยจะต้องเพิ่มความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีในทุก ๆ ด้าน ซึ่งสามารถทำได้ทันที เมื่อพรรคเข้าเป็นรัฐบาล ก่อนชี้ว่า 4 ปีข้างหน้า จะเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และปฏิรูปทุกรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม หลังปรากฏชื่อ “ยศชนัน” ซึ่งมีนามสกุล “วงศ์สวัสดิ์” ก็มีเสียงวิจารณ์ตามมาว่า “พท.” ยังสลัดภาพ “ชินวัตร” ไม่พ้น

แม้ก่อนหน้านั้น “พท.” จะประกาศว่า พรรคจะลบความเป็น “ชินวัตร” ออกจาก “พท.” แม้ “ยศชนัน” จะไม่ใช้นามสกุล “ชินวัตร” แต่ก็เป็นบุตรชายของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกฯ และ “เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาวของ “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งถือเป็นผู้นำจิตวิญญาณของ “พท.” และยังมีอิทธิพลไม่เสื่อมคลาย

ส่วน “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” มักมีข่าวว่า มีอิทธิพลทางการเมือง เคยถูกยกให้เป็น “เจ้าแม่วังบัวบาน” นับตั้งแต่ก่อตั้ง “พรรคไทยรักไทย” (ทรท.) จนมาเป็น “พท.” ซึ่งความเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง มักถูกวิจารณ์ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในพรรค และถึงแม้จะประกาศว่า ได้วางมือทางการเมืองไปแล้ว แต่หลายคนยังไม่เชื่อ และตั้งคำถามว่า หาก “ยศชนัน” ได้รับตำแหน่งนายกฯ หรือมีโอกาสเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง “มารดา” จะเข้ามามีอิทธิพลในการทำงานหรือไม่ และอาจทำให้ “บุตรชาย” ถูกวิจารณ์ในแง่ลบ 

นอกจากนี้จากการเปิดเผยชื่อ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 100 คน เรียงตามลำดับตัวอักษร ก็มีรายชื่อ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คน อยู่ในบัญชีดังกล่าวทั้ง “สุริยะ-ยศชนัน-จุลพันธ์” รวมถึงแกนนำพรรคคนอื่น ๆ อาทิ “ภูมิธรรม เวชชัย-ประเสริฐ จันทรรวงทอง-สมศักดิ์ เทพสุทิน” รวมถึงยังมีคนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในพรรค ยังมีรายชื่ออยู่ในบัญชีด้วย อาทิ “เทวัญ ลิปตพัลลภ-ต่อศักดิ์ อัศวเหม” รวมถึงยังมีทายาทนักการเมืองที่ลงสมัคร สส.บัญชีรายชื่อครั้งแรก อาทิ “ธงธรรม เวชยชัย” บุตรชายของภูมิธรรม “รวิ สอดส่อง” บุตรชายของพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

ส่วนพรรคการเมืองที่ถูกคาดหมายจะช่วงชิงการได้ สส.มาเป็นอันดับ 1 กับ “ปชน.” คือ“ภท.” ซึ่งใช้สัญลักษณ์ “สีน้ำเงิน” ซึ่งจะเปิดชื่อแคนดิเดตนายกฯ ช้ามากที่สุด โดยมีข่าวว่า จะเปิดเผยวันที่ 28 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันรับสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ และแจ้งชื่อแคนดิเดตนายกฯ โดยในวันที่ 24 ธ.ค. “ภท.” จะมีการจะมีการประชุมและแถลงนโยบายพรรค ในการหาเสียงเลือกตั้ง ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ชั้น 3

โดยผู้แถลงนโยบาย ประกอบด้วย“อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรค “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองนายกฯ และรมว.คลัง “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รมว.ต่างประเทศ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รมว.พาณิชย์ และ “ซาบีดา ไทยเศรษฐ์” รมว.วัฒนธรรม

ทั้งนี้ ภายหลังจากการแถลงนโยบายพรรคภูมใจไทย ในการหาเสียงเลือกตั้ง จะมีการเปิดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งระบบเขตเลือกตั้ง และระบบบัญชีรายชื่อ อย่างเป็นทางการ อีกทั้งน่าสังเกตว่า ในการจัดทำโปสเตอร์หาเสียงของ “ภท.”  ปรากฏภาพ “เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์” ถ่ายคู่กับ “อนุทิน” ด้วย

ด้าน “พิพัฒน์  รัชกิจประการ” รองนายกฯ ในฐานะแกนนำ “ภท.” ดูแลพื้นที่ภาคใต้ ยืนยันว่า “พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ส่งแคนดิเดตนายกฯ คนเดียว เนื่องจากอดีตที่ผ่านมา เห็นอยู่แล้วว่าการเสนอแคนดิเดตนายกฯ คนเดียว เป็นความสุ่มเสี่ยง เพราะคำว่า จริยธรรม เราก็ไม่ทราบว่าจะพลาด หรือผิดเมื่อใด เพราะในปัจจุบันหรืออดีต หากมีความผิดพลาดขึ้นมา จะได้มีนายกฯ ที่พร้อมขึ้นมาทำงานบริหารประเทศในนามพรรคต่อไป”

ขณะที่ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกระแสข่าวการเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค หลังมีภาพโปสเตอร์เชิญชวนแถลงนโยบายในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ โดยในภาพยืนขนาบข้าง “อนุทิน” ร่วมกับ “เอกนิติ” ว่า “เปล่าครับ ไม่ได้เป็น ผมรับผิดชอบในส่วนของการต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งเป็นบทบาทของผม”

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมา “อนุทิน” เคยทาบทามให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ “สีหศักดิ์” กล่าวว่า ยังไม่เคยมีการทาบทาม เพราะเข้าใจว่ามี 2 ท่านอยู่แล้ว

นั่นหมายความว่า แคนดิเดตนายกฯ “ภท.” นอกจาก “อนุทิน” และ อาจได้ “เอกนิติ-ศุภจี” ซึ่งบุคคลทั้งสอง แม้จะเข้ามาทำงานในช่วงสั้น ๆ แต่ก็สร้างความโดดเด่นเรื่องการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการผลักดันสินค้าการเกษตร ออกไปขายไปยังต่างประเทศ ซึ่งสร้างความยอมรับกับสาธารณชนและประชาชน ที่ติดตามการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งหากบุคคลทั้งสอง ตอบรับเป็นแคนดิเดตนายกฯ จริง จะส่งผลต่อคะแนนนิยมของ “ภท.” โดยเฉพาะในส่วนของการเลือกตั้งแบบระบบบัญชีรายชื่อ อีกทั้งยังมีนักการเมืองบ้านใหญ่กว่า 80 ชีวิต ย้ายเข้าพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งบวกรวมกับอดีต สส.ของ “ภท.” 70 ที่นั่ง

นั่นหมายความว่า “ภท.” จะได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น แต่การเมืองไทยมักมีอะไรไม่แน่นอน เพราะตราบใดที่ยังไม่มีหย่อนบัตร อาจมีสถานการณ์บางอย่าง ทำให้การตัดสินใจของประชาชนแปรเปลี่ยนไป

แต่ถ้าเทียบแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองต่าง ๆ หาก “เอกนิติ-ศุภจี” ตอบรับ “ภท.” เท่ากับว่า “พรรคสีน้ำเงิน” จะมีความโดดเด่น เพราะบุคคลทั้งสองมีศักยภาพ สามารถสร้างผลงานในช่วงสั้น ๆ ให้ประชาชนได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “คนละครึ่งพลัส-การขายข้าวให้จีนและสิงคโปร์-ขายมันสำปะหลังให้ซาอุดีอาระเบีย” โดยเฉพาะมีประสบการณ์ในการทำงาน ทั้งในระบบราชการและเอกชน

จากนี้ไปจะต้องรอดูว่า แต่ละพรรคจะพลิกเกมอย่างไร เพื่อสร้างได้เปรียบที่สุด โดยเฉพาะในเวทีดีเบตช่วงแสดงวิสัยทัศน์ และตอบคำถามของประชาชน เอาเป็นว่า ศึกชิงอำนาจรัฐครั้งนี้ ไม่มีใครยอมใครแน่ ๆ

…………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img