เป็นภารกิจที่ยากจริง ๆ กับการนำทัพ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) เข้าสู่สนามเลือกตั้งในปี 69 หลังที่ประชุมใหญ่พรรคแกนนำรัฐบาลหลายสมัย มีมติด้วยคะแนน 354 คะแนน ผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน 15 คน จากผู้มีสิทธิลงคะแนนทั้งหมด 369 คน เลือก “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” นักการเมืองหนุ่มรุ่นกลาง เป็นหัวหน้าพรรค เพื่อนำทัพสู้ศึกเลือกตั้ง
แต่แค่วันแรกที่เข้ามาหน้าที่สำคัญ ก็ถูกครหาว่า ได้อานิสงส์จาก “ใบสั่งคลองเปรม” ทั้งที่ “ตระกูลชินวัตร” ต้องการแสดงให้สังคมเห็น ว่าจะปล่อยให้พรรคมีอิสระในการตัดสินใจ ไม่เข้ามาครอบงำ ไม่เข้ามาแทรกแซง
แม้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ตั้งแต่ปี 2541 แต่วันนี้ กระแส “ชินวัตร” ไม่เหมือนเดิม หลัง “แพทองธาร ชินวัตร” ล้มเหลวจากการทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาล แถมยังมีปัญหาเรื่องจริยธรรมติดตัวต่อ จนนำมาสู่การยกเครื่องเพื่อไทย เปลี่ยนแปลงพรรคสีแดง ให้กลับมาเป็นทางเลือกทางการเมืองอีกครั้ง
ที่น่าจะเป็นประเด็น ก่อนหน้าจะถึงวันประชุมใหญ่ เลือกหัวหน้าพรรค ความเห็นของบรรดาสมาชิกพรรคส่วนใหญ่เทไปที่ “เดอะอ๋อย-จาตุรนต์ ฉายแสง” เนื่องจากชื่นชมในการแสดงความเป็นนักประชาธิปไตย ถึงจะไม่มีความโดดเด่นในฝ่ายบริหาร แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของผู้มากบารมีในพรรค “จาตุรนต์” เลยต้องยอมถอยให้ “จุลพันธ์” แม้จะมีข่าวอดีตพรรคแกนนำรัฐบาล จะผลักดันให้ “เดอะอ๋อย” เป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ถึงเวลา…อาจไม่ใช่ตัวจริง
เพราะมีข่าว “ผู้มีอำนาจตัวจริง” เตรียมผลักดัน “พงศ์-ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ลูกเขยตระกูลชินวัตร สามีของ “เอม-พินทองทา ชินวัตร” บุตรสาวของ “ทักษิณ” ให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ หรือ “รองรศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” บุตรชาย “สมชาย วงศสวัสดิ์ / เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” น้องสาวนายทักษิณ ส่วนหัวหน้าพรรคมีไว้แบกรับความเสี่ยง เวลามีปัญหาถูกร้องเรียนในเรื่องต่าง ๆ หรือถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ในฐานะคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.)

ส่วน “รองหัวหน้าพรรค 13 คน” ประกอบด้วย “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ กำกับดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน, “จเด็ศ จันทรา” สส.พิษณุโลก กำกับดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง, “เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล” สส.เลย กำกับดูแลภาคอีสานตอนบน, “มนพร เจริญศรี” สส.นครพนม กำกับดูแลภาคอีสานตอนกลาง, “สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล” กำกับดูแลภาคอีสานตอนล่าง, “สรวงศ์ เทียนทอง” สส.สระแก้ว กำกับดูแลพื้นที่ภาคกลาง, “ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” สส.กทม. กำกับดูแลพื้นที่ กทม., “ก่อแก้ว พิกุลทอง” สส.บัญชีรายชื่อ กำกับดูแลพื้นที่ภาคใต้, “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.บัญชีรายชื่อ กำกับดูแลฝ่ายกฎหมาย, “พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีต รมว.แรงงาน กำกับดูแลฝ่ายบริหาร, “เผ่าภูมิ โรจนสกุล” อดีต รมช.คลัง กำกับดูแลฝ่ายนโยบายและวิชาการ, “ศรัณย์ ทิมสุวรรณ” สส.เลย กำกับดูแลฝ่ายกิจการสภา, “จักรพงษ์ แสงมณี” อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแลฝ่ายต่างประเทศ
ขณะที่ตำแหน่ง “เลขาธิการพรรค” เป็นไปตามโผ คือ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” อดีตรองนายกฯ โดยมี “รองเลขาธิการพรรค 5 คน” คือ “ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์” อดีต รมช.ศึกษาธิการ, “จิรวัฒน์ ศิริพานิชย์” สส.มหาสารคาม, “ขัตติยา สวัสดิผล” สส.บัญชีรายชื่อ, “ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช” สส.เชียงราย, “ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ” อดีต สส.บัญชีรายชื่อ, “ทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์” เป็นเหรัญญิกพรรค, “ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์” สส.บัญชีรายชื่อ เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค, “ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ” โฆษกพรรค
ส่วน “กก.บห. 6 คน” ประกอบด้วย “ดนุพร ปุณณกันต์” สส.บัญชีรายชื่อ, “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” สส.บัญชีรายชื่อ, “เชิดชัย ตันติศิรินทร์” สส.บัญชีรายชื่อ, “วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์” สส.อุบลราชธานี, “วรวงศ์ วรปัญญา” สส.ลพบุรี และ “วิพุธ ศรีวะอุไร” ประธานสภา กทม.
จากการสแกนรายชื่อดู แทบจะ “ไม่มีคนหน้าใหม่” ที่มีความโดดเด่น ล้วนเป็นสมาชิกพรรคที่ทำงานอยู่ในพรรคอยู่แล้ว ถ้าหากพรรคอยู่ในกระแส ที่อยู่ในความนิยมของประชาชน ย่อมต้องมีนักการเมืองต่างพรรค ทยอยสมัครเป็นสมาชิกพรรค แต่ที่ผ่านมา “ไม่มีคนรุ่นใหม่” คนที่มีความรู้ความสามารถ สมัครเข้าร่วมอุดมการณ์กับพรรคสีแดง แต่มักมีข่าวสมาชิกพรรคเพื่อไทยไหลออก ไปร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.)
แม้กระทั่งมีข่าว แกนนำพรรคเพื่อไทยไปทาบทาม “ชัชชาติ สิทธิพันธ์” ให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ก็ถูกปฏิเสธแม้จะเคยร่วมงานกันมา สมัย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ โดยรับตำแหน่ง “รมว.คมนาคม” แต่คงเห็นชะตากรรม “สมัคร สุนทรเวช” และ “เศรษฐา ทวีสิน” 2 อดีตนายกฯ ที่เปรียบเสมือนเป็น “ตัวแทนตระกูลชินวัตร” แต่ในที่สุดก็มีปัญหา “คนหนึ่งคุมไม่ได้-คนหนึ่งทำตามสั่ง” จนต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ และมีข้อหาผิดจริยธรรมติดตัว หลังจาการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้ง ๆ ที่มีปัญหาเรื่องคดีความมาก่อน
หลายคนเชื่อว่า ถ้าไม่มีคนขอมา ไม่มีทางที่ “เศรษฐา” จะตั้งบุคคลที่เคยมีปัญหาเข้ามาร่วมในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเห็นชะตากรรมของ 2 อดีตนายกฯ จึงยากที่ใครจะเข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทย อีกทั้ง “ชัชชาติ” มีแผนจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.อีกสมัยด้วย
นอกจากนี้ยังมีมีข่าว “วราวุธ ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) อาจนำพรรคมายุบรวมกับเพื่อไทย เหตุเพราะว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคขนาดเล็กคงไปต่อยาก ดังนั้นการนำพรรคมายุบรวมกับพรรคขนาดใหญ่ โดยแลกกับการมีชื่อเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” อาจเป็นทางเลือกอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งต้องรอดูในที่สุด ดีลการเมืองครั้งสำคัญ จะเกิดขึ้นหรือไม่ ส่วนที่เป็นหนึ่งในการวัดความนิยมของพรรคการเมืองต่าง ๆ คือ ผลสำรวจของโพล
โดยเฉพาะ “นิด้าโพล” ที่หลายครั้งใกล้เคียงกับความเป็นจริง เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “กระแสการเมือง ภาคอีสาน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27-30 ต.ค.68 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับกระแสการเมือง ภาคอีสาน จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนอีสานจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 32.40 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้, อันดับ 2 ร้อยละ 19.70 ระบุว่าเป็น “อนุทิน ชาญวีรกูล” (พรรคภูมิใจไทย), อันดับ 3 ร้อยละ 18.55 ระบุว่าเป็น “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” (พรรคประชาชน), อันดับ 4 ร้อยละ 8.80 ระบุว่าเป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” (พรรคเพื่อไทย), อันดับ 5 ร้อยละ 6.10 ระบุว่าเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” (พรรคประชาธิปัตย์)

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่คนอีสานจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 26.05 ระบุว่าเป็น “พรรคประชาชน”, อันดับ 2 ร้อยละ 24.65 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้, อันดับ 3 ร้อยละ 16.85 ระบุว่าเป็น “พรรคเพื่อไทย, อันดับ 4 ร้อยละ 15.75 ระบุว่าเป็น “พรรคภูมิใจไทย”, อันดับ 5 ร้อยละ 5.55 ระบุว่าเป็น “พรรคประชาธิปัตย์”
จะเห็นว่า ทั้งตัวบุคคลและพรรคเพื่อไทย ไม่ได้อยู่ในความนิยมเป็นอันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายว่า พรรคที่จะได้ สส.มากที่สุด น่าจะหนีไม่พ้น “พรรคประชาชน” โดยมีคู่ต่อสู้ที่สำคัญคือ “พรรคภูมิใจไทย”
ส่วน “พรรคเพื่อไทย” ในส่วนแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ คะแนนนิยมไม่ถึง 10% แต่เมื่อถึงช่วงใกล้เลือกตั้ง เมื่อเปิดรายชื่อ สังคมอาจจะรู้สึก “ว้าว” ก็ได้ เพียงแต่ช่วงเวลา 4 เดือนต่อจากนี้ จะสามารถดึงคะแนนนิยมขึ้นมาได้หรือไม่ เพราะพื้นที่ต่าง ๆ ที่พรรคเพื่อไทย ต้องลงแข่งขัน ล้วนเจอคู่ต่อสู้ที่มีภาษีเหนือกว่าทั้งสิ้น
ภาคเหนือ มีคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคกล้าธรรม (กธ.) ส่วน ภาคอีสาน ต้องช่วงชิงจำนวน สส. กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาชน (ปชน.) ภาคกลาง ต้องเจอกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาชน (ปชน.) ภาคตะวันออก ต้องต่อสู้กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคประชาชน (ปชน.) กทม. มีพรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นคู่ต่อสู้ที่สำคัญ ขณะที่ ภาคใต้ พรรคเพื่อไทยยิ่งไม่มีหวัง เพราะไม่เคยมี สส.อยู่ในพื้นที่ ยิ่งในครั้งนี้พรรคภูมิใจไทย (ภท.) รุกหนัก ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็ต้องทวงเก้าอี้คืน
จึงมีคำถามว่า จะมีพื้นที่ไหนที่จะเหลืออยู่เป็นของพรรคเพื่อไทย (พท.)
ด้าน “จุลพันธ์” ให้สัมภาษณ์ ภายหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ถึงความมั่นใจหรือไม่ว่า จะนำพรรค จะได้สส. 200 เสียงว่า “มั่นใจ เพราะว่าจากการสัมผัสกับพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่าประชาชนให้การต้อนรับพรรคเพื่อไทย ยังคงมีอยู่จำนวนมาก แล้วพรรคเราเอง ต้องมาพิจารณาตัวเอง มองกลับมาตัวเอง เพื่อที่จะมาปรับเปลี่ยนหรือว่ายกเครื่อง เราดูตั้งแต่เรื่องผู้สมัคร เรื่องกลไกในการสื่อสารกับประชาชน ดูเรื่องแนวนโยบาย วันนี้เราเดินหน้าไปมากแล้ว ด้วยกลไกที่เราดำเนินการทั้งหมด เราเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถสร้างความไว้วางใจ ให้กับพี่น้องประชาชนได้อีกครั้ง สามารถผ่านการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลได้ เพื่อทำนโยบายที่ดีให้กับประชาชนต่อไป”

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งที่ผ่านพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นพรรคอันดับหนึ่ง นโยบายทำไม่สำเร็จ จะกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปหรือไม่ “จุลพันธ์” กล่าวว่า “ครั้งที่ผ่านมา มันก็ผ่านไปแล้ว เราไม่ได้มองลักษณะนั้น เราก็มองการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึง ในเรื่องแนวนโยบาย หากมองในเรื่องเงินหมื่น มุมหนึ่งเราทำไม่เสร็จจริง ๆ แต่ระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลของเรา ก็มีเพียงแค่ 2 ปี คือเราไม่สามารถอยู่ครบวาระได้ ระหว่างทาง ทุกท่านก็เห็นว่า มีอุปสรรคอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เราทำก็คือ เราสามารถดำเนินการนโยบายนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ซึ่งคนที่เงินหมื่นไป ก็เป็นกลุ่มเปราะบางหรืออ่อนแอ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือมีรายได้ต่ำ แต่แน่นอนว่าอีกครึ่งทางที่เหลือ เราไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่ได้สานต่อ อยากบอกว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชนก็ช่วยกันทำเถอะ”
นั่นหมายความว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยอมรับสภาพว่า ผลักดันนโยบายไม่สำเร็จ อ้างว่ามีเวลาแค่ 2 ปี
นอกจากนี้ยังมีบาดแผลฉกรรจ์ เมื่อ “แพทองธาร ชินวัตร” ซึ่งนำพาฝ่ายบริหารให้มีอันเป็นไป ด้วยปัญหา “คลิปเสียงอังเคิล” สนทนากับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา จนศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยปัญหาด้านจริยธรรม และยังกลายเป็น “บาดแผลติดตัว” มาจนถึงวันนี้
อีกทั้งหลายคนเชื่อว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” เป็นเรื่องศึก 2 ตระกูล ระหว่าง “ตระกูลฮุน” กับ “ตระกูลชินวัตร” ซึ่งอาจส่งผลไปถึงผลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะจังหวัดที่มีชายแดนติดกับกัมพูชา ซึ่งเกิดการปะทะกันระหว่างทหาร 2 ประเทศ จนส่งผลทำให้เกิดความสูญเสีย ทั้งพลเรือน ชีวิตทหาร และทรัพย์สินในฝั่งแดนไทย จนยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน และอาจเป็นปัญหากับพรรคเพื่อไทย เวลาไปหาเสียงในพื้นที่ดังกล่าว
นอกจากนี้ยังมี ประเด็นร้อน เมื่อ “สุรพงษ์ อินทรถาวร” รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่า “จากการสอบสวนพบว่า นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ และครม. ได้มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง เพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายของรัฐบาล”
การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5) โดยมีเจตนาเพื่อโยกงบไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการคลังของประเทศ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ไต่สวน โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้ 1.เศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ 2.คณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน ที่เข้าร่วมประชุม และมีมติเห็นชอบกับการปรับลดงบประมาณ 3.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 4.กรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
อย่าลืมว่า ใน “ครม.เศรษฐา” มีชื่อ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” เป็น “รมช.คลัง” อยู่ด้วย และเป็นกลไกสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจ และมีหน้าหลักในการชี้แจง “นโยบายแจกเงินหมื่น” และก่อนหน้านั้นใครเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯของพรรคสีแดง มักมีคำร้องและข้อหาติดตัวอยู่
ดังนั้นกระบวนการสอบสวนของป.ป.ช. ปม “โยกงบ” ไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท เลยกลายเป็น “บ่วงรัดคอ” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ วันดี-คืนดี…บทสรุปหากออกมาในทางลบ จะกลายเป็น “วิบากกรรม” กับพรรคเพื่อไทย ที่เกิดขึ้นแบบ “ซ้ำซาก” ไม่สามารถหลุดพ้น “นิติสงคราม” ไปได้
……………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”



















