ทำเอาบรรดานักการเมืองค่ายต่าง ๆ ตีความกันไปต่าง ๆ นานา หลัง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกมาให้ความเห็นถึงเรื่อง “ยุบสภา” ถึงสองครั้ง ในห้วงเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพราะที่มาของรัฐบาลภายใต้การนำของ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เกิดจาก “เอ็มโอเอ : MOA” ที่ทำร่วมกับ พรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งสิ่งที่พรรคสีส้มต้องการมากสุด คือการเปิดทางให้มี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) นำไปสู่การร่างใหม่ของกฎหมายแม่บทในการปกครองประเทศ
โดยเชื่อว่า พรรคแกนนำรัฐบาล มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จึงหันมาสนับสนุนพรรคสีน้ำเงินเป็นแกนนำรัฐบาล และในที่สุดร่างแก้ไข รธน.ก็ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในวาระแรก จากนั้นเข้าสู่การพิจารณาของกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่าง รธน. (แก้ไขเพิ่มเติม) ซึ่งน่าจะได้บทสรุปจะผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 3 หรือไม่ ในช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้ โดยสภาผู้แทนราษฎรจะเปิดประชุมสมัยสามัญในวันที่ 12 ธ.ค. เพียงแต่มีประเด็นแทรกซ้อนเกิดขึ้นมา เนื่องจาก พรรคเพื่อไทย (พท.) ส่งสัญญาณจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ “รัฐบาลอนุทิน”
“ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์” สมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะ อดีตรองเลขาธิการพรรค โพสต์ข้อความว่า “การที่คุณศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน บอกว่า “รัฐบาลยังไม่ถึงขั้นผิดร้ายแรง” อาจเป็นคำที่สะท้อนว่า พรรคประชาชนกำลังรอให้วิกฤตเกิดก่อน แล้วค่อยตรวจสอบ แต่ฝ่ายค้านควรทำหน้าที่ “ดับไฟตั้งแต่ต้นลม” ไม่ใช่รอให้ลุกไหม้ทั้งบ้าน การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เป็นกลไกตรวจสอบตาม รธน.ที่มีอยู่แล้ว”
พรรคเพื่อไทย ในฐานะฝ่ายค้านมีสิทธิ และหน้าที่เต็มที่ในการใช้ช่องทางนี้ เพื่อปกป้องประโยชน์ของประชาชน และความโปร่งใส ในการบริหารราชการแผ่นดิน การเข้าชื่อหนึ่งในห้าของ สส.เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่ง หากพรรคประชาชนกังวลว่า การยื่นอภิปรายจะกระทบต่อกระบวนการแก้ไข รธน. พรรคเพื่อไทยพร้อมพูดคุย และหาทางออกร่วมกัน เพราะจุดยืนของเราชัดเจนว่า “การตรวจสอบรัฐบาล” กับ “การผลักดันการแก้ไข รธน.” ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน
สิ่งสำคัญคือ “ฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ” โดยไม่ปล่อยให้ปัญหาบานปลาย เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้หมายถึงการล้มรัฐบาลเสมอไป แต่คือการทำให้รัฐบาลต้องตอบคำถามต่อสาธารณะ และปรับปรุงการบริหารงานให้ดีขึ้น
ด้าน “ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ” รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “พรรคเพื่อไทยทยอยเปิดเหตุผล ที่เราไม่สามารถไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ อาทิ แต่งตั้งโยกย้ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวปัดเป่าคดีพวกพ้อง บริหารจัดการน้ำล้มเหลว ใช้งบ 4,000 ล้านบาท อุ้ม MotoGP ไม่คุ้มค่า ไม่จริงจังแก้ปัญหาสแกมเมอร์ มุบมิบเซ็น MOU แร่หายาก เสี่ยงทำไทยเสียดินแดน และอีกมากมายที่เตรียมเปิดต่อ ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ผิดถึงขั้นต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
ทั้งให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า “พรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล และต้องดูหลายปัจจัยว่าจะยื่นวันไหน เพราะมีประเด็นเรื่องแก้ไข รธน. ที่อยากให้เดินหน้าเต็มที่ ทั้งนี้การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นกลไกตรวจสอบรัฐบาล ที่ผ่านมาเราเห็นความผิดพลาดหลายเรื่องที่รัฐบาลทำแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเรายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน ซึ่งใช้เสียงสส. 1 ใน 5 หรือขั้นต่ำ 100 สส.พรรคเพื่อไทยมีเพียงพอ”
ฟังท่าที่จากแกนนำพรรคเพื่อไทย เชื่อได้เลยว่า อดีตแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล คงยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่ ๆ เพราะหวังทำลายความน่าเชื่อถือพรรคภูมิใจไทยให้มากที่สุด เพราะอย่างน้อยต้องการได้ สส.เป็นอันดับ 2 ภายหลังการเลือกตั้ง เพื่อสร้าง “อำนาจต่อรองทางการเมือง”
เพราะเชื่อว่า แม้พรรคประชาชนจะได้สส.มาเป็นอันดับ 1 แต่คงไม่ถึง 250 เสียง อาจได้น้อยกว่า 150 ที่นั่งด้วยซ้ำ เนื่องจากกระแสความนิยมของ “ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) หากเพื่อไทยได้เสียงมาเป็นอันดับ 2 ยังสามารถแย่งชิงการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะด้วยนโยบายที่ล่อแหลมของพรรคสีส้ม
บรรดาพรรคการเมืองต่าง ๆ คงไม่อยากร่วมงานกับพรรคประชาชน ในฐานะฝ่ายบริหาร แม้กระทั่งพรรคสีแดงอาจต้องการให้ “อนุทิน” ยุบสภา ก่อนที่จะร่างแก้ไข รธน.จะพิจารณเสร็จ เพื่อทำให้พรรคสีน้ำเงินทำผิดข้อตกลง เรื่องผลักดันการแก้ไข รธน. เพื่อให้กลายเป็นบาดแผล ถูกนำไปโจมตีในสนามเลือกตั้ง หรือถ้าหัวหน้ารัฐบาลจะเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการถูกซักฟอก พรรคเพื่อไทยอาจต้องการฝากบาดแผลให้กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อจะได้มีปัญหาติดตัวและเป็นจุดอ่อนในสนามเลือกตั้ง ไม่ปลอดข้อกล่าวหาใด ซึ่งจะทำให้จำนวน สส.ภูมิใจไทย ไม่สามารถแซงหน้าพรรคเพื่อไทยได้ แต่ถ้าพรรคประชาชนร่วมลงชื่อในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และข้อมูลที่นำมาซักฟอกมีน้ำหนัก รัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้ และมีเสียงไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง นั่นหมายความว่า “อนุทิน” ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
อย่าลืมว่า หากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถูกบรรจุวาระเข้าที่ประชุมสภาฯเมื่อไหร่ “นายกฯ ไม่สามารถยุบสภาได้” และหากรัฐบาลต้องมีอันเป็นไป พรรคเพื่อไทยยังมีแคนดิเดตนายกฯ เหลืออีก 1 คนคือ “ชัยเกษม นิติศิริ” ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยเสนอ “โปรไฟไหม้” กับพรรคประชาชนมาแล้ว คือเมื่อได้รับการโหวตเป็นนายกฯ จะยุบสภาทันที
นั่นหมายถึง ช่วงการเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง มีความหมายกับบรรดาพรรคการเมือง เพราะอาจมีความได้เปรียบ ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งพรรคภูมิใจไทยคงไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นสูญเสียไป จึงอาจตัดสินใจยุบสภาก่อน
ก่อนที่จะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่วางใจ หรือถ้าพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และนำเรื่อง “นักการเมืองสีเทา” และ “พัวพันสแกมเมอร์” ไปอภิปรายในสภาฯ บางทีอาจมีประเด็น “อดีตนายกฯบางคน” โผล่ขึ้นมา เพื่อใช้ตอบโต้พรรคเพื่อไทย หลังจาก “อดีตนายตำรวจคนดัง” ออกมาเปิดเผยข้อมูลในเรื่องนี้ แทนที่จะหวังเปิดแผลรัฐบาล พรรคเพื่อไทยอาจถูกสวนกลับ ด้วยข้อมูลที่นึกไม่ถึง ดังนั้นเรื่องการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจไม่ใช่เป็นคุณกับฝ่ายค้าน แต่อาจกลายเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมา ทำลายฝ่ายตรวจสอบก็ได้ หากมีแผลให้ถูกสวนกลับได้
ขณะที่ “อนุทิน” กล่าวบนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 เมื่อ 5 พ.ย.68 ที่ผ่านมา หลังถูกตั้งคำถาม จะยุบสภาก่อน 4 เดือน หากพรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ ช่วงที่สภาฯ จะเปิดสมัยประชุมในวันที่ 12 ธ.ค.68 ว่า “เป็นเรื่องที่ผมต้องดูสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากทำมาเพื่อล้างแค้น เอาคืน เป็นเกมการเมือง ตามไทม์ไลน์สภา เปิดเดือนธ.ค. ผมตั้งใจยุบสภา 31 ม.ค.69 คงไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาลเล่น ๆ ฟรี ๆ ถ้ารัฐบาลสู้เกมการเมืองไม่ได้ ก็ยุบสภาไป”
นอกจากนั้น นายกฯยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม กรณีหากมีขั้นตอนรวบรวมรายชื่อ สส.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่เสี่ยงดวงจะชิงยุบสภาก่อนใช่หรือไม่ ว่า “Play it by ear” (ไม่มีแผนการตายตัว)
เมื่อถามว่า ถ้านายกฯมั่นใจว่า รัฐบาลไม่ได้ทําอะไรที่ผิดหรือไม่สุจริต ทำไมไม่เปิดรับการอภิปราย นายกฯ กล่าวว่า “ยังตอบตอนนี้ไม่ได้ ผมถึงบอกว่า Play it by ear”
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย. “นายกฯอนุทิน” ได้ออกแถลงถึงประเด็นการชิงยุบสภา โดยมีรายละเอียดทั้งหมด 8 ประเด็น โดยสาระสำคัญประกอบด้วย “ขอยืนยันในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มาจากข้อตกลงกับพรรคประชาชนว่า จะยุบสภาภายใน 120 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 31 ม.ค.69…ผมรู้ตัวตลอดเวลาว่า เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น หากมีการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เพื่อประโยชน์ทางการเมือง รัฐบาลย่อมไม่มีทางที่จะมีเสียงสนับสนุนมากกว่า รัฐบาลก็ต้องคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่ถ้าเป็นการยื่นญัตติเปิดอภิปราย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกัน ผมพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น จัดเวทีประชุม หรือมาพูดคุยหารือกัน ในลักษณะแบบนี้ได้ทั้งนั้น ทั้งนี้ หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อมาเป็นรัฐบาลต้องพร้อมชี้แจง แม้ว่าจะมีในข้อตกลงหรือไม่มีก็ตาม พร้อมย้ำรัฐบาลพร้อมชี้แจง และไม่เคยคิดที่จะจับรัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน แต่เราจะเร่งแก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จเร็วที่สุด ตามกรอบเวลาที่กำหนด จากนั้นจะยุบสภา”
อีกนัยหนึ่ง…หรือการส่งสัญญาณครั้งนี้ ต้องการต่อรองพรรคฝ่ายค้าน ขอให้เป็นการเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีลงมติ ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะชี้แจง แต่หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อมาเป็นรัฐบาลต้องพร้อมชี้แจง แม้ว่าจะมีในข้อตกลงหรือไม่มีก็ตาม ซึ่งในเอ็มโอเอ ไม่มีประเด็นในเรื่องการเปิดศึกซักฟอก นั่นหมายความว่า รัฐบาลสามารถยุบสภาได้ ไม่ผิดข้อตกลง
ที่น่าสนใจคือ ท่าทีของ “ศิริกัญญา ตันสกุล” สส. บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการยื่นอภิปรายไว้วางใจว่า “ในกระบวนการตรวจสอบรัฐบาล สามารถทำได้หลายทาง ทุกวันนี้เราก็ทำหน้าที่ในการตรวจสอบทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ และเราคิดว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะใช้ในการกำกับพรรคภูมิใจไทย ให้ปฏิบัติตามเอ็มโอเอ แต่ไม่ปฏิเสธว่า ถ้ามีเรื่องร้ายแรง ที่เราไม่สามารถให้รัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นแกนนำบริหารประเทศต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียว เราไม่ลังเลใจที่จะยื่นแน่นอน แม้จะเท่ากับว่าเอ็มโอเอจะสูญเปล่า แต่จนถึงทุกวันนี้…เรายังไม่พบข้อมูลที่คิดว่าร้ายแรงสุด ๆ จริง ๆ ที่เราอยากกระทุ้ง ให้รัฐบาลแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือทำอะไรบางอย่าง เราได้พยายามผลักดันในทุกวิถีทางด้วยกลไกที่เรามีอยู่แล้ว ถ้าจะมีพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงร่วมกันเกิน 1 ใน 5 ของสมาชิกสภา ไปยื่นเราคงห้ามไม่ได้ เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้านเหมือนกัน ก็คงต้องมาคุยกันว่าจะยื่นเมื่อไหร่”
ดังนั้นจึงไม่ใช้เรื่องแปลก หลัง “ศิริกัญญา” ให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าว จะถูกโลกออนไลน์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อน โดยมองว่า พรรคประชาชนเป็น “ฝ่ายค้ำ” ไม่ยอมตรวจสอบฝ่ายบริหาร ทั้งที่มีปัญหาเรื่องปัญหาสแกมเมอร์ ข้อครหาเรื่องทุนเทา ซึ่งควรจะหาคำตอบให้สังคม เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน หรือการที่พรรคประชาชนไม่ยอมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะไม่ต้องการให้ร่าง รธน.ต้องล้มลงไป อีกทั้งอยากแสดงความจริงใจกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อผูกสัมพันธ์ไว้ หากการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนได้เสียงมาอันดับ 1 แต่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (250) เสียง จะได้ไม่ขาดเพื่อนในการจัดตั้งรัฐบาล
ส่วนความคืบหน้าในการแก้ไข รธน. ต้องจับตาดูการประชุมคณะกมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรธน. วันที่ 12 พ.ย.68 มา ซึ่งมีวาระกำหนดการลงมติตัดสินในเนื้อหาของร่างมาตรา 256/1 ว่าด้วยองค์กรที่มีหน้าที่จัดทำ รธน.ฉบับใหม่ ว่าจะให้มีเฉพาะคณะกมธ.ยกร่าง รธน.เท่านั้น หรือให้มีสมาชิกสภาร่าง รธน. (สสร.) และ กมธ.ร่าง รธน. หลังการประชุมเมื่อวันที่ 7 พ.ย. มีปัญหาเรื่ององค์ประชุม โดยมีข่าวว่า กมธ.สัดส่วนของ “พรรคภูมิใจไทย-พรรคร่วมรัฐบาล” ไม่ร่วมประชุมในห้วงเวลาดังกล่าว ส่วน “สว.” มีผู้เข้าร่วมประชุม แต่ในช่วงโหวต กลับไม่ปรากฏตัวในที่ประชุม เลยทำให้ถูกจับตามองว่า มีความพยายามยื้อกระบวนการไปให้นานที่สุด
เพียงแต่มีคำถามว่า รูปแบบของพรรคประชาชน ที่เป็นร่างหลักในการพิจารณา อาจจะสุ่มเสี่ยงกับคำการขัดคำวินิจฉัยศาล รธน. ซึ่งไม่ให้กระบวนการร่าง รธน. มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แต่เนื้อหาพรรคสีส้มกำหนดไว้ว่า การให้มีกรรมการร่าง รธน.ฉบับใหม่ โดยผ่านการเลือกของประชาชนให้เลือกแบบบัญชีรายชื่อ โดยแบ่งตามบัญชี เช่น ด้านวิชาการ ด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ เป็นต้น ก่อนจะเปิดรับสมัคร แล้วให้ กกต. จัดให้มีการจับเบอร์ตามบัญชี หลังจากนั้นให้ “ประชาชน” เลือก หลังเลือกเสร็จ ให้นำคะแนนแต่ละบัญชีมาคำนวณ คนที่จะได้รับการคัดเลือก เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการดังกล่าวแล้ว จะส่งให้ที่ประชุมรัฐสภา เลือกบุคคลที่จะเข้ามา “กรรมร่าง รธน.ฉบับใหม่” อีกขั้นตอนหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาล รธน. ที่ให้กระบวนการแก้ไข รธน.มาจากรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าว ทาง “พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อไทย” คัดค้าน เพราะเกรงว่าจะขัดคำวินิจฉัยของศาล รธน. แม้จะไม่ใช่การเลือกทางตรงจากประชาชน เนื่องจากต้องผ่านการคัดเลือกจากรัฐสภา แต่การมี “คูหา” ให้ประชาชนเข้าไปเลือก อาจจะถูกตีความว่า กรรมการร่าง รธน.ฉบับใหม่ มาจากการเลือกของประชาชน
ด้าน “พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์” สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะกมธ. พิจารณาร่าง รธน. กล่าวถึงแนวทางการลงมติต่อที่ประชุม กมธ. ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ว่า “กมธ.ซีกของ สว. ยังไม่ได้หารือ ถึงทิศทางของการลงมติว่า จะให้องค์กรผู้จัดทำ รธน.ฉบับใหม่ เป็นไปตามแนวทางใด แต่ตามประเด็นที่ในชั้น กมธ. เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา สรุปเสนอให้พิจารณา 5 ประเด็น พร้อมจะลงมติ ทั้งนี้ตามหลักการแล้ว เห็นว่าควรยึดคำวินิจฉัยของศาล รธน. ที่ห้ามไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่าง รธน.ได้โดยตรง ซึ่งในกรณีที่มีการเสนอแนวทาง ที่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกสภาร่าง รธน. (สสร.) หรือ ผู้ร่าง รธน. แล้ว ส่งรายชื่อให้รัฐสภา เป็นผู้คัดเลือก เท่ากับว่า เป็นกรณีที่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งองค์กรทำรธน.ฉบับใหม่”
เมื่อถามว่า กรณีข้อเสนอของพรรคประชาชน ที่ให้ “ประชาชน” เลือกผู้ทำ รธน.ชั้นต้นแล้วส่งให้รัฐสภาเลือก ซึ่งมีคำอธิบายว่า ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล รธน. เป็นกรณีที่ฟังขึ้นหรือไม่ “สว.พิสิษฐ์” กล่าวว่า “ฟังไม่ขึ้น เพราะกรณีกำหนดให้ประชาชน เลือกมาก่อนแล้วส่งให้ สส. และสว. เลือกอีกชั้น เท่ากับว่า มีกระบวนการที่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือก ต่อให้อธิบายว่า เป็นเลือกตั้งทางอ้อมก็ตาม นอกจากนี้ วิธีการที่เสนอให้ประชาชนเลือกผู้ทำ รธน.แล้วให้ สส. และ สว. คัดเลือก เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ สส. และสว. ที่มีอำนาจเต็ม ในฐานะตัวแทนประชาชน สามารถเลือกผู้ร่าง รธน.หรือกมธ.ร่าง รธน.ได้”
เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยที่เสนอแนวทางให้ประชาชนสมัครเป็น “สสร.” แล้วนำรายชื่อทั้งหมดให้รัฐสภาเลือกตรงนี้มองอย่างไร “สว.พิสิษฐ์” ตอบว่า “เป็นแนวทางที่ไปได้ เพราะไม่ได้ให้ประชาชนเลือก และเป็นการสมัครเข้ารับเลือกจากประชาชนโดยตรง”
ในที่สุดบทสรุปของการแก้ รธน. คงเป็นเรื่องการต่อรองระหว่าง “พรรคภูมิใจไทย” กับ “พรรคประชาชน” ว่า รูปแบบของกระบวนการร่าง รธน. จะออกมาอย่างไร เพื่อทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ อีกทั้งสัญญาณที่ “แกนนำพรรคประชาชน” สื่อออกมาก็ชัดเจน ไม่ต้องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะไม่อยากให้เกมไหลไปเข้าทาง “พรรคเพื่อไทย” ประกอบกับ “พรรคสีส้ม” มองไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า หวังได้ “พรรคสีน้ำเงิน” เป็น “พันธมิตร” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อมีโอกาสได้ครอบครองอำนาจรัฐ หลังต้องผิดหวังมาหลายครั้ง
……………….
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”





































