หน้าแรกCOLUMNISTS‘น้ำลดตอผุด-ขยะใต้พรมโผล่’ที่หาดใหญ่

‘น้ำลดตอผุด-ขยะใต้พรมโผล่’ที่หาดใหญ่

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ความรุนแรงของ “น้ำท่วมหาดใหญ่” ทำให้สปอตไลต์ทุกดวง ทุกภาคส่วนทุ่มสรรพกำลังช่วยเหลือ จนคนในสังคมลืมไปว่า ชาวบ้าน อ.บางบาล จ.อยุธยา ก็จมน้ำ…มานานหลายเดือนแล้ว

อาจเป็นเพราะ “หาดใหญ่” เป็นเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของภาคใต้ เป็นศูนย์กลางธุรกิจ การค้า การขนส่ง เป็นเมืองท่องเที่ยว รวมถึงน้ำท่วมครั้งนี้มีผู้คนสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก คาดว่า ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท

นี่เป็นความเสียหายทางทรัพย์สิน แต่ยังไม่รวมความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ตามมาหลังน้ำท่วม การทำมาค้าขายซบเซา นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางเข้ามาเที่ยว กว่าจะฟื้นคงต้องใช้เวลาหลายเดือน

หลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เมื่อ “น้ำลด” ลงแล้ว สิ่งที่ทุกคนเห็น ไม่ใช่แค่บ้านที่อยู่อาศัยที่เสียหาย รถยนต์ที่จมน้ำ แต่ทุกคนเห็นตรงกันว่า “สิ่งที่โผล่หลังน้ำลด” คือ ศักยภาพทางเศรษฐกิจของเมืองหาดใหญ่ และศรัทธาต่อระบบการบริหารจัดการของรัฐที่หายไปพร้อม ๆ กับสายน้ำ วิกฤติศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อ “ผู้นำ” ไม่ว่า…“ผู้นำระดับท้องถิ่น” หรือ “ผู้นำระดับประเทศ” รวมถึง “หน่วยงานราชการ”

อย่าลืมว่า เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปี 2568 ไม่ใช่ครั้งแรก หาดใหญ่เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2531 ถือเป็น “น้ำท่วมใหญ่ครั้งแรกในยุคสมัยใหม่” เสียหายราว 4 พันล้านบาท ต่อมาในปี 2543 เสียหายราว 1.8 พันล้านบาท ในปี 2553 ฝนตกหนักหลายวันย่านใจกลางเมืองเสียหายหนัก หลายหมื่นครัวเรือนความเสียหายหลายพันล้านบาท

แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ รัฐบาล-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่เคยเรียนรู้ประสบการณ์ ในการรับมือกับวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก

“น้ำท่วมหาดใหญ่เที่ยวนี้” จึงเป็นการ “เปิดโปงความล้มเหลว” อย่างไม่อาจปฎิเสธได้

ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจที่แท้จริง จึงไม่ใช่ตัวเลขซ่อมแซมบ้านและถนนหนทาง ระบบสาธารณูปโภคเท่านั้น แต่คือ “ต้นทุนโครงสร้าง” ที่สะสมจากการบริหารที่ผิดพลาดมาหลายทศวรรษ เมืองที่เติบโตไว แต่ผังเมืองตามไม่ทัน ระบบระบายน้ำเล็กกว่าความเป็นจริงของสภาพลุ่มน้ำ พื้นที่รับน้ำถูกแปรเป็นอาคารและห้างสรรพสินค้า คลองถูกบุกรุกจนเหลือเพียงช่องตื้น ๆ ให้เรือกู้ภัยแล่นแทบไม่ได้

สุดท้าย “เมืองที่เคยเป็นจุดแข็ง” กลับถูกลากให้กลายเป็น “จุดอ่อนทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องจ่ายแพงกว่าเดิมทุกครั้งเมื่อเจอวิกฤติน้ำท่วมใหญ่

ที่น่าเจ็บปวดมากกว่าความเสียหาย คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ หากมีการสรุปบทเรียนในอดีตที่ผ่านมา หากระบบการเมืองไม่ล้มเหลว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นข้อบกพร่องตั้งแต่ “ส่วนกลาง” จนถึงระดับ “ท้องถิ่น”

ระบบเตือนภัยยังไม่สอดคล้องกับมวลน้ำ การประเมินสถานการณ์ช้ากว่าไลน์กลุ่มของชาวบ้าน การสื่อสารไม่ชัดเจนว่า ควรอพยพเมื่อไหร่ และใครมีอำนาจสั่งการจริง ระหว่าง “เทศบาล-จังหวัด” หรือ “รัฐบาลกลาง” ทุกครั้งที่มีการตั้งศูนย์บัญชาการ หน้าที่หลักคือแถลงข่าว มากกว่าควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่จริง

ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ ระบบการเมืองไทยยังติดนิสัย “แก้ปัญหาแบบตามน้ำ” ไม่ใช่ “นำหน้าปัญหา” เพราะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มักไม่สร้างคะแนนนิยมเท่ากับการแจกถุงยังชีพ หรือโพสต์ภาพลงพื้นที่หลังน้ำท่วม “ผู้นำทุกระดับ” มักจะลงพื้นที่พร้อมสื่อ

แต่ไม่มีใครอธิบายว่า ทำไม “งบลอกท่อประจำปี” ไม่เพียงพอ ทำไมคลองยังเต็มไปด้วยตะกอน ทำไมระบบสูบน้ำไม่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียว และทำไมแผนแม่บทการจัดการน้ำของเมืองจึงอยู่ในลิ้นชักมานานกว่าทศวรรษ

นี่คือความล้มเหลว การบริหารจัดการที่ถูกแยกส่วน เทศบาล จังหวัด ต่างคน-ต่างทำ ส่วนกลางสั่งการลงมาแบบไม่เข้าใจพื้นที่จริง ทุกหน่วยงานมีข้อมูลของตัวเองแต่ไม่มีฐานข้อมูลเชื่อมต่อกัน ไม่มีความชัดเจนว่าใครรับผิดชอบเต็มตัว จึงไม่แปลกใจที่การแก้ปัญหามักออกมาแบบฉุกละหุกและจัดการเป็นจุด ๆ มากกว่าเป็นการบูรณาการร่วมกัน

ขณะที่โครงสร้างธุรกิจหาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว ขายปลีก การแพทย์ การบริการ ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวจากวิกฤติ ผลกระทบจึงขยายวงกว้าง ห่วงโซ่อุปทานต่าง ๆ ที่ยึดโยงกันหยุดชะงักทันที ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยเสี่ยงล้มละลาย อาจต้องปิดหรือขายกิจการ ธุรกิจที่อยู่รอดคือธุรกิจขนาดใหญ่ทุนหนา จึงกลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางธุรกิจที่เกิดจากน้ำท่วม หากรัฐไม่เร่งเข้าช่วยฟื้นฟูรายย่อยที่เป็นกระดูกสันหลังของเมืองให้อยู่รอด

หากมองลึกลงไป การเมืองที่ล้มเหลวไม่ใช่เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดและปล่อยปละละเลยในช่วงเวลาปกติ ปล่อยให้มีการรุกคลองเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ผู้รับผิดชอบหลับตาข้างเดียว เพราะไม่อยากเสียคะแนนนิยม แม้แต่การผลักดันโครงการขนาดใหญ่ ก็เพื่อภาพลักษณ์มากกว่าความจำเป็น เช่น มีโครงการก่อสร้างเพิ่มพื้นที่ผิวถนนแต่ลดพื้นที่ซับน้ำ พึ่งพาเครื่องสูบน้ำมากกว่าระบบระบายน้ำธรรมชาติ จนเมืองไม่มีพื้นที่เมื่อเกิดน้ำหลาก

ปัญหาใหญ่คือ นักการเมืองไทยไม่ชอบลงทุนในสิ่งที่ไม่เห็นผลทันที เช่น พื้นที่เขื่อนย่อย ถนนยกระดับ ระบบท่อใหม่ คลองลึก ทั้งหมดเป็นงานกินเวลา กว่าจะเสร็จเรียบร้อย จะกลายเป็นผลงานคู่แข่ง จึงใช้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย โดยไม่มีทางออกของปัญหาอย่างถาวร

วันนี้น้ำเริ่มลด แต่สิ่งที่โผล่ขึ้นไม่ใช่ขยะทั่วไป แต่เป็น “ขยะใต้พรม” ที่ซุกปัญหาทับถมมานาน

โดยเฉพาะภาพที่แท้จริงของการเมืองไทยที่เผยโฉมหน้าออกมา “หาดใหญ่” ควรจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจกลับเป็นพื้นที่เสี่ยงซ้ำซาก ทั้งที่มีบทเรียน มีเทคโนโลยี มีองค์ความรู้แต่ขาดผู้นำที่พร้อมจะเปลี่ยนความรู้ให้เป็นนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง

วิกฤติครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องภัยธรรมชาติ แต่มันคือบททดสอบ “ภาวะผู้นำ” ว่ามีศักยภาพหรือไม่ อีกทั้ง “ขยะใต้พรม” ที่โผล่หลังน้ำลด คือ “กระจกสะท้อนสังคมและการเมืองไทย” ในอีกมิติหนึ่ง

…………………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุน : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img