หน้าแรกCOLUMNISTS“วิกฤติไดกิ้น”..เกมวัดใจนายจ้าง-ลูกจ้าง

“วิกฤติไดกิ้น”..เกมวัดใจนายจ้าง-ลูกจ้าง

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เหตุการณ์ความขัดแย้ง ระหว่าง ฝ่ายบริหาร บริษัท ไดกิ้น อินดัสตรี้ (ประเทศไทย) จำกัด กับ พนักงานบริษัท ที่เป็น สมาชิกสหภาพแรงงานอมตะรักษ์เสรี 1,500 คน ซึ่งประท้วงเรียกร้องสวัสดิการทองและโบนัสประจำปี ยังไม่รู้จะจบอย่างไร ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ประกาศ “ปิดงาน งดจ้าง” ทำให้พนักงานที่ประท้วงเรียกร้อง ต้องกลายเป็น “คนว่างงานชั่วคราว” ทันที

การปิดงาน งดจ้าง…ไม่ใช่การเลิกจ้าง แต่ในระหว่างการปิดงาน บริษัทฯจะไม่จ่ายเงินเดือน สวัสดิการใด ๆ ทั้งสิ้นและไม่ให้เข้ามาทำงาน จนกว่าพนักงานจะยอมตามข้อเรียกร้องของนายจ้าง หรือตกลงกันได้

เป็น “เกมจิตวิทยา” ที่ต้องการบีบให้ “สหภาพแรงงานฯ” เสียงแตก ขาดความเป็นเอกภาพ เพราะบางคนอาจมีปัญหาเรื่องการเงิน มีภาระครอบครัว หลังจากถูกนายจ้าง “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ทำให้ไม่มีรายได้ จนอาจยอมหันหน้ามาเจรจายอมตามข้อเสนอของบริษัทฯ เมื่อสหภาพฯอ่อนแรง ประกอบกับนายจ้างมีทุนมีสายป่านยาว ความได้เปรียบอยู่ที่ฝ่ายนายจ้าง แต่ก็ไม่ง่าย ฝ่ายสหภาพแรงงานฯก็มีลูกจ้าง มีกำลังแรงงาน หากยังเป็นเอกภาพ อำนาจต่อรองก็สูงอยู่ที่ใครจะอึดกว่าใคร

หากจะวิเคราะห์ว่า ทำไมฝ่ายนายจ้างเล่นเกมนี้ ด้านหนึ่งอาจเป็นช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะ เนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูการขายแอร์ เพราะตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ อยู่ในช่วงฤดูหนาว การส่งออกช่วงนี้ลดลงทุกปี จนต้องลดกำลังการผลิต จึงไม่ต้องใช้คนมาก หรืออีกทางหนึ่ง อาจจะสต็อกสินค้าเพียงพอการส่งออกอยู่แล้ว ไม่ต้องเพิ่มกำลังการผลิต ฝ่ายนายจ้างอาจจะประเมินว่า อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ

ก็ต้องวัดใจว่า สหภาพแรงงานฯจะเข้มแข็งและมีความเป็นเอกภาพแค่ไหน ยิ่งเหลืออีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันปีใหม่ ลูกจ้างต้องใช้เงิน เพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านต่างจังหวัด เลี้ยงฉลองปีใหม่กับครอบครัว หรือจัดการเรื่องหนี้สิน ตรงนี้เป็น “จุดเปราะบาง” ของ “ฝ่ายลูกจ้าง” แต่ถ้าไม่มีใครแตกแถว ยังเป็นเอกภาพ ก็อาจจะพลิกเกมมาได้ ตอนนี้มีข่าวปรากฏตามสื่อว่า “ทางผู้บริหาร” แก้เกมด้วยการเปิดรับสมัครพนักงานใหม่เพื่อทดแทนแล้ว

สำหรับ ปมความขัดแย้ง ทั้งสองฝ่ายมี 2 ประเด็นหลัก ๆ คือ 1) กรณี สวัสดิการ “ทอง” ที่ฝ่ายลูกจ้างคิดว่า ตามสิทธิ์ควรจะได้ กลับไม่ได้ตามข้อตกลง ตามที่บริษัทฯบอกว่า ใครขยันและทำงานครบ 10 ปี รับทอง 3 บาท บวกเงินอีก 1 หมื่นบาท ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรทำกันมานาน พนักงานจำนวนหนึ่งจึงทุ่มเทไม่ขาด ไม่ลาป่วย ไม่ลากิจ มาเป็นเวลา 10 ปี ด้วยหวังว่าจะรับค่าตอบแทนก้อนใหญ่ สมกับความทุ่มเท แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาทองในตลาดโลกขยับสูงทะลุเพดานงบประมาณที่บริษัทฯตั้งไว้ จึงเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นการให้เงิน 4 หมื่นบาท แทนทอง 3 บาท

น่าสนใจตรงที่…นี่ไม่ใช่เป็นการตกลงแบบปากเปล่า แต่เป็นข้อตกลงที่นายจ้างประกาศไว้ใน “คู่มือพนักงาน”

เมื่อออกมาอย่างนี้ ฝ่ายแรงงานก็มองว่า นายจ้าง “ไม่ปฏิบัติตามคู่มือพนักงงาน” ประเด็นนี้จึงไม่ใช่ข้อเรียกร้อง แต่เป็นข้อตกลงที่ฝ่ายนายจ้างเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง ฉะนั้นในการหาทางออก ก็ควรจะเจรจากันตั้งแต่แรก ผ่อนหนักเป็นเบาในจุดที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ เพราะนี่เป็นสิทธิ์ที่แรงงานควรต้องได้

2) เรื่อง “โบนัสพนักงาน” ที่บริษัทฯได้ปรับลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งสวนทางประกอบการ มีข้อมูลที่เปิดเผยผ่านสื่อว่าในปี 2568 มีรายได้ 51,225 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 6% แต่ข้อเสนอโบนัสลดลงจากเดิม 7 เดือนมาเป็น 5 เดือน บวกเงินพิเศษ 12,000 บาท อาจจะดูว่าเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แม้กรณีโบนัสจะอยู่ในดุลพินิจของนายจ้างก็ตาม

เรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน 10 รอบ ยังตกลงกันไม่ได้ กระทั่ง “ผู้บริหารไดกิ้น” ประกาศ “ปิดงาน งดจ้าง” ในมุมของ “ผู้บริหาร” วัตถุประสงค์ต้องการ “คุมต้นทุน” ไม่ให้สูงเกินไป และเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ในมุมของ “พนักงาน” ก็ต้องการความมั่นคงในชีวิต ประกอบกับที่ผ่านมาค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น แต่ค่าแรงขั้นต่ำไม่ขยับมาหลายปี เงินที่เขาควรจะได้เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อไม่ได้ตามที่คาดหวังจึงมีความรู้สึกว่า ถูกปฏิบัติไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายควรจะหันหน้ามาเจรจากัน แม้นายจ้างได้รับชัยชนะ แต่ภาพลักษณ์ของบริษัทฯที่สั่งสมมานาน อาจจะถูกมองในแง่ลบว่าเอาเปรียบแรงงาน อาจทำให้พนักงานขาดกำลังใจและขาดความเชื่อมั่นบริษัทได้

ฝ่ายแรงงาน แม้จะเป็นสิทธิโดยชอบธรรมหากยังไม่ยอมยืดหยุ่น เพื่อให้เรื่องนี้ยุติโดยเร็ว ปล่อยให้เกมยาว อาจจะเสียเปรียบโดยที่ไม่ได้อะไรติดมือ และอาจจะถูกสังคมภายนอกมองว่าแข็งข้อ จะทำให้เสียแนวร่วมได้

งานนี้จึงเป็นการ “ประลองกำลังกัน” ระหว่าง “นายจ้าง” กับ “ลูกจ้าง” ว่าใครจะอึดได้นานกว่ากัน อันที่จริงรัฐบาลโดย “รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน” ต้องเข้ามาช่วยเป็น “คนกลาง” เข้ามาแก้ปัญหาด้วยความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายโดยเร็วที่สุด หากยืดเยื้อจะเสียหายลามไปถึงภาพลักษณ์อุตสาหกรรมไทยทั้งระบบทำให้นักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย ไม่รู้ข้อเท็จจริงอาจจะลังเล เพราะกังวลปัญหาแรงงานได้

…………………………………

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุน : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img