“เศรษฐกิจไทย” ในห้วงเวลากว่า 3 ทศวรรษ เหมือนรถยนต์เก่า ๆ ที่ต้องอาศัยการเข็นให้ติดเครื่องอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะมีบางช่วงบางเวลา ที่ดูเหมือนจะไปได้ คือ “จีดีพี.” เติบโต “ส่งออก” ขยายตัว “ท่องเที่ยว” คึกคัก “หนี้เสีย” ลดลง
แต่ไม่นานเครื่องยนต์ก็สะดุดเป็นระยะ ๆ เศรษฐกิจชะลอตัว การลงทุนหดหายและปัญหาโครงสร้างเดิม ๆ ย้อนกลับมาใหม่
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่ เรียกว่า “วงจรอุบาทว์เศรษฐกิจไทย” ระบบที่มีปัญหาหมุนเวียนซ้ำซาก ระหว่างนโยบายประชานิยม, ปัญหาทุนผูกขาด, ระบบราชการล่าช้าบางช่วงเกียร์ว่าง, การศึกษาไม่ตอบโจทย์, การเมืองไม่มั่นคง วงจรเหล่านี้ไม่ได้แยกจากกัน แต่เชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่ที่ทำให้เศรษฐกิจไทย “เติบโตแบบชั่วคราว ถดถอยอย่างยั่งยืน”
วงจรแรก “ประชานิยม” จุดเริ่มต้นจากการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วย “คะแนนนิยมจากประชาชน” มากกว่าผลลัพธ์ระยะยาว รัฐบาลแทบทุกยุคต้องมีนโยบายประชานิยม ไม่ว่า จะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค, ดิจิทัลวอลเลต, คนละครึ่ง หรือ พักหนี้เกษตรกร เป็นต้น
แน่นอนว่า มาตรการเหล่านี้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ๆ เม็ดเงินทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อชั่วคราว แต่ในระยะยาวกลับสร้างภาระการคลังขนาดใหญ่ รัฐต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อรักษานโยบายให้ต่อเนื่อง หนี้สาธารณะจึงพุ่งเกือบ ๆ 65% ของจีดีพี. จากเพดานเงินกู้ 70% ของจีดีพี.งบประมาณประจำปีก็ถูกใช้ไปกับเงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการมากกว่านำมาลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานหรืองานวิจัย
เมื่อรายรับไม่พอ รัฐก็ต้องเพิ่มภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีสุรา ยาสูบ หรือภาษีคาร์บอนเครดิต นี่คือ วงจรที่รัฐแจกเงินแล้วเก็บคืนอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้บริโภคที่เป็นฐานล่างมากที่สุด

วงจรที่ 2 “ทุนผูกขาด รัฐเอื้อประโยชน์ การแข่งขันต่ำ” อีกด้านหนึ่งเศรษฐกิจไทยถูกครอบงำจาก กลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่กลุ่ม เป็น “กลุ่มทุนผูกขาด” ไม่ว่าจะเป็น “ทุนพลังงาน-ทุนค้าปลีก-ทุนโทรคมนาคม-ทุนอสังหาริมทรัพย์” การแข่งขันทางธุรกิจจึงจำกัดอยู่ไม่กี่กลุ่มไม่กี่ตระกูล ธุรกิจใหม่ ๆ เข้าไม่ถึงตลาด กติกาต่าง ๆ ก็ออกแบบมาเอื้อให้กับทุนใหญ่ กลไกเช่นนี้ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยจึงเติบโตช้า หรือมิเช่นนั้นก็ถูกบังคับให้อยู่ในซัพพลายเชนของกลุ่มทุนใหญ่ไปเลย
ผลคือ เศรษฐกิจไทย “โตบนยอดปิรามิด” รายได้ไหลกลับเข้าสู่ “กระเป๋ากลุ่มทุนใหญ่” ขณะที่ “รายย่อย” ซึ่งเป็นฐานล่าง ขยายตัวช้า ความเหลื่อมล้ำในทางธุรกิจจึงถ่างกว้างและลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความเหลื่อมล้ำมากขึ้น กำลังซื้อในประเทศก็หดตัวทำให้เศรษฐกิจโดยรวมหมุนช้าลง
วงจรต่อมา “ระบบราชการขนาดใหญ่-การอนุมัติล่าช้าและโครงการไม่ทันโลก” รัฐไทยไม่ใช่รัฐยากจน แต่เป็นรัฐที่บริหารเงินไม่ทันโลก ประโยคนี้อาจอธิบายวงจรอุบาทว์ที่ 3 ชัดเจนที่สุด แม้งบประมาณรายจ่ายของประเทศจะสูงกว่า 3 ล้านล้านบาทต่อปี แต่ระบบราชการรวมศูนย์อำนาจและล่าช้า ทำให้หลายโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน การอนุมัติล่าช้า เบิกจ่ายงบต่ำ และโครงการจำนวนมากสิ้นสุดด้วย “งบบาน งานล่าช้า ผลสัมฤทธิ์ต่ำ”
ในยุคที่โลกแข่งขันด้วยความเร็ว ระบบราชการยังทำงานด้วยวัฒนธรรม “ทำเท่าที่ระเบียบอนุญาต” มากกว่า “ทำเท่าที่สังคมต้องการ” ผลที่ตามมาคือประเทศสูญเสียโอกาสการลงทุนจากต่างชาติ และไม่สามารถเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้จริง
วงจรที่ 4 “การศึกษาไม่ตอบโจทย์ แรงงานทักษะต่ำ-ค่าจ้างไม่โต” แม้ประเทศไทยจะผลิตบัณฑิตปีละกว่า 3 แสนคน แต่ตลาดแรงงานกลับขาดแคลนแรงงานทักษะสูงอย่างหนัก ระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำและสอบแข่งขัน ทำให้แรงงานไทยไม่พร้อมสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ ผลที่ตามมาคือ ค่าจ้างแรงงานไทยไม่ขยับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “เวียดนาม” กลับเร่งพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี จนกลายเป็นฐานการผลิตใหม่ของเอเชีย
การที่ค่าจ้างไม่โต ทำให้คนไทยขาดแรงจูงใจในการพัฒนาฝีมือ และเมื่อแรงงานถูก ไม่มีทักษะ ธุรกิจก็ไม่มีแรงผลักดันในการลงทุนเทคโนโลยี วงจรนี้จึงหมุนซ้ำ ๆ และพาประเทศติดอยู่ใน “กับดักรายได้ปานกลาง” มานานกว่า 2 ทศวรรษ

วงจรสุดท้าย “การเมืองไม่มั่นคง นโยบายเปลี่ยน ความเชื่อมั่นหด” เสถียรภาพทางการเมืองกลายเป็นจุดอ่อนเรื้อรังของไทย ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายเศรษฐกิจจะถูกปรับเปลี่ยนตามแนวคิดของผู้มีอำนาจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายพลังงาน เกษตร หรือต่างประเทศ
ผลคือ ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ ความเชื่อมั่นลดลงการลงทุนจึงไหลไปประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม เมื่อการเมืองไม่มั่นคง ในเชิงเศรษฐกิจก็ไม่สามารถวางยุทธศาสตร์ได้จริง โครงการสำคัญที่ควรจะต่อเนื่อง เช่น รถไฟทางคู่หรือพลังงานสะอาด จึงต้องเริ่มใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรัฐบาล
หากมอง “วงจรอุบาทว์ทั้ง 5 วงจร” จะเห็นว่า ไทยกำลังตกอยู่ใน “ห่วงโซ่แห่งความถดถอย” เริ่มจาก เศรษฐกิจชะลอ รัฐบาลใช้นโยบายแจกเงิน ส่งผลหนี้สาธารณะเพิ่ม รัฐต้องลดงบลงทุน ระบบราชการทำงานล่าช้า นักลงทุนหาย การจ้างงานซบเซา ประชาชนรายได้น้อย รัฐต้องแจกเงินอีก วนลูปอยู่อย่างนี้
นี่คือกลไกที่สร้างภาพการเติบโตระยะสั้น ๆ แต่ทำลายความเชื่อถือระยะยาว ประเทศจึงเหมือนคนไข้ที่พึ่งยาแก้ปวดตลอดเวลา แต่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดรักษาโรคจริง ๆ ตราบใดที่วงจรอุบาทว์ทั้ง 5 วงจร ยังวนลูปอย่างนี้ ประเทศก็ยังติดอยู่กับดักเดิม ๆ โตแบบหวังพึ่งนโยบายชั่วคราว ถดถอยอย่างยั่งยืน
อย่าลืมว่า หากเศรษฐกิจคือเครื่องยนต์ วงจรอุบาทว์คือสนิมที่กัดกร่อน ไม่มีทางขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้จนกว่า จะต้องขัดสนิมออกให้หมดเสียก่อน
…………………………………
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”











