หน้าแรกCOLUMNISTS“สงครามสแกมเมอร์”ปฏิบัติการจริง!!! หรือเป็นแค่...“พิธีกรรมสร้างภาพ”

“สงครามสแกมเมอร์”ปฏิบัติการจริง!!! หรือเป็นแค่…“พิธีกรรมสร้างภาพ”

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ขณะที่หลาย ๆ ประเทศเอาจริงเอาจังกับ การปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ สหรัฐอเมริกา ได้ยึดทรัพย์กลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ราว 4.87 แสนล้านบาท, อังกฤษ ได้ยึดคฤหาสน์หรู 520 ล้านบาท อายัดสำนักงาน 4,334 ล้านบาท แฟลตอีก 17 แห่ง ทั้งหมดอยู่ในลอนดอนที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายของกลุ่มดังกล่าว 

ใกล้ ๆ บ้านเรา รัฐบาลเกาหลีใต้ อายัดเงินกว่า 2,000 ล้านบาทของสแกมเมอร์ ที่ฝากเงินไว้ในธนาคารเกาหลีใต้ สาขากัมพูชา, ไต้หวัน อายัดเงินจำนวน 4,749 ล้านบาท ค้นสถานที่เป้าหมาย 47 แห่ง จับผู้ต้องสงสัย 25 คน, ฮ่องกง อายัดทรัพย์ 11,520 ล้านบาทและล่าสุด สิงคโปร์ ยึดทรัพย์ 3,730 ล้านบาท ขณะที่ ไทย ปรากฏว่า “ดีเอสไอ” (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ไม่พบความเชื่อมโยง ปรินซ์ อินเตอร์เนชันแนลและปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป

เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลไทยเพิ่งจะประกาศสงครามสแกมเมอร์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมี 15 เครือข่าย ร่วมลงนามและตั้ง “ซูเปอร์บอร์ด” ขึ้นมาเป็นพิเศษ พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่า จะเอาจริงกับอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ ตั้งแต่บัญชีม้า ปลอมเสียง ปลอมหน้า ไปจนถึงการหลอกลงทุนผ่านโซเชียล

ขณะเดียวกัน “เอนก อยู่ยืน” รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยภายในงานสัมมนา Better Trade 2025 Intelligent Investor : ปลดล็อคความคิด พิชิตโอกาส ฉลาดลงทุน ว่า “ปัจจุบันประเด็นที่นักลงทุนควรระวังเป็นพิเศษ คือเรื่องของสแกมเมอร์ ซึ่งมักเกิดจากการที่นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนสูงโดยไม่รู้ตัว และตกเป็นเหยื่อของการหลอกลงทุน โดยตั้งแต่ต้นปี ก.ล.ต. ได้รับเบาะแสเกี่ยวกับการหลอกลงทุนเกือบ 8,000 เคส”

“ก.ล.ต. ได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อปิดกั้นแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง จำนวนกว่า 3,000 เว็บไซต์ เพื่อลดความเสียหาย นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้ามาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการถูกหลอกลงทุนมากกว่า 1,000 ราย” เอนก กล่าวย้ำ

ฉะนั้นการจัดอีเวนต์ของรัฐบาลครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นแค่ การจัดฉากเชิงสัญลักษณ์ หรือ “สร้างภาพ” มากกว่า “ปฏิบัติการจริง” หลายหน่วยงานยังไม่ทราบ “คำสั่งที่แท้จริง” จากนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แค่นี้ก็สะท้อนให้เห็นถึง “ช่องว่าง” ในการประสานงาน ระหว่าง “นโยบายของฝ่ายการเมือง” กับ “หน่วยงานของรัฐ” ที่เป็น “ผู้ปฏิบัติ”

อีกทั้งการไม่กำหนดกรอบเวลาการทำงานและรายงานผลที่ชัดเจน ว่าจะต้องสำเร็จในห้วงเวลาใด 15 วันหรือ 1 เดือน เมื่อไม่มีความชัดเจนเรื่องนี้ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นเพียง “พิธีกรรม” มากกว่าการทำสงครามจริง ๆ

ที่สำคัญ ในห้วงเวลาแค่เดือนกว่า ๆ ที่ “รัฐบาลอนุทิน” เข้ามาบริหารประเทศ ถูกสังคมตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับการปราบสแกมเมอร์ล่าช้า กระทั่งถูกนำไปโยงการเมืองกับ “คนในรัฐบาล” ที่ถูกกล่าวหาว่า มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ บุคคลใกล้ชิดเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเชื่อมโยงกับ ขบวนการฟอกเงิน ของ กลุ่มปรินซ์ โฮลดิ้ง (Prince Holding Group) ในกัมพูชา

สงครามสแกมเมอร์ของ “รัฐบาลอนุทิน” กำลังสะท้อนให้เห็นถึง “ความล้มเหลวของโครงสร้างอำนาจรัฐ” เมื่อ “ผู้นำรัฐบาล” ไม่กล้าจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งกับ “คนที่ถูกกล่าวหาในรัฐบาล” 

สงครามสแกมเมอร์ ของรัฐบาลจะจึงถูกมองว่าเป็นแค่ “สงครามสร้างภาพ” ที่มีเป้าหมายทางการเมืองมากกว่าต้องการแก้ปัญหาจริง ๆ การประกาศสงครามในช่วงที่รัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งนายกฯ ถูกวิจารณ์เรื่องภาวะผู้นำ การประกาศสงครามไซเบอร์ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลยังเอาจริงเอาจังและต้องการปกป้องประชาชนจริง ๆ เท่านั้นเอง

ทุกวันนี้ “สแกมเมอร์ยุคใหม่” ไม่ได้ใช้เพียงโทรศัพท์ปลอมเสียง หรือแค่ส่งลิงก์หลอก แต่ ใช้เทคโนโลยีระดับ AI ที่สามารถ “สร้างหน้าคนจริง-เสียงจริง” ได้ภายในไม่กี่นาที ในขณะที่ฝั่งรัฐยังใช้วิธี “ไล่ตาม” มากกว่าการ “สกัดก่อนเกิดเหตุ”

สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน ใช้ระบบ AI ตรวจจับธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์และเชื่อมโยงข้อมูลธนาคารกับตำรวจไซเบอร์ เมื่อธุรกรรมเข้าข่ายหลอกลวง ระบบจะแจ้งเตือนทันทีและระงับธุรกรรมโดยอัตโนมัติ 

หาก “รัฐบาลอนุทิน” ต้องการจะรบกับขบวนการสแกมเมอร์จริง ๆ ต้องลงทุนเทคโนโลยีทันสมัย ไม่ใช่แค่ตั้งคณะกรรมการที่ไม่เคยมีการประชุมหรือทำแอปใหม่ที่คนไม่ใช้  และยังต้องจัดการ “บัญชีม้า” อย่างจริงจัง เพราะมันคือโครงสร้างพื้นฐานของสแกมเมอร์ 

การปฏิบัติการดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ายังไม่กระชับโครงสร้างราชการให้เกิดความคล่องตัว อาชญากรรมออนไลน์ไม่สามารถจัดการได้โดยคำสั่งฝ่ายเดียว เพราะเป็นอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจไซเบอร์ กระทรวงดิจิทัล แบงก์ชาติ กสทช. และกระทรวงการคลัง

ตราบใดที่ระบบราชการยังทำงานแบบ “ตัวใครตัวมัน” ต่างก็มีอาณาจักรของตัวเอง ยากที่จะสำเร็จ เช่น ตำรวจไซเบอร์มีข้อมูลคนร้าย แต่ไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมของธนาคาร, ธนาคารพบสิ่งผิดปกติ แต่ไม่สามารถอายัดได้, กสทช.ตรวจสอบเบอร์โทรต้องสงสัยได้ แต่ไม่สามารถแชร์ข้อมูลกระทรวงดิจิทัลแบบเรียลไทม์ เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นในโครงสร้างราชการทุกวันนี้ 

รัฐบาลต้องปฏิรูปโครงสร้างการทำงานให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแบบเรียลไทม์ และ ต้องปรับปรุงกฏหมาย ให้หน่วยงานด้านการเงินและความมั่นคงสามารถ “บล็อกบัญชี” ผู้ต้องสงสัยชั่วคราวได้ภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องรอคำสั่งหลายชั้นหลายขั้นตอน

การประกาศสงครามสแกมเมอร์กลางงานอีเวนต์ที่ไม่มีโครงสร้างรองรับ ไม่มีกระบวนการทำงานคล่องตัวและเข้มข้น ก็คงแค่เป็น “พิธีกรรมสร้างภาพ” เท่านั้นเอง

………………………………….

คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง

โดย “ทวี มีเงิน”

สนับสนุน : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC 

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisement -spot_imgspot_img

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img