เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา “ทอม ไรท์” นักข่าวสืบสวน ได้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากสิงคโปร์ มาที่ “สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย” (FCCT) เพื่อ เปิดโปงเบื้องหลังการทำข่าวสืบสวนเจาะลึก กล่าวหา “นายเบน สมิธ”
หนึ่งในประเด็นคำถามของนักข่าวได้ถาม “ทอม ไรท์” ว่า มั่นใจได้อย่างไร ว่าเงินของเบน สมิธ มาจากเงินสแกมเมอร์ ปรากฎว่า “ทอม ไรท์” ได้อ้างถึง ธนาคาร B.I.C Group (บีไอซี กรุ๊ป) ของ นายยิม เลียก พันธมิตรของฮุนเซน และเป็นเครือข่ายธุรกิจของเบน สมิธ ที่ทอม ไรท์ เชื่อว่า ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในการฟอกเงินโดยเฉพาะ
“ทอม ไรท์” ชี้ว่า “B.I.C ไม่ใช่แบงก์จริง เพราะมีลูกค้าเพียง 4 พันคนเท่านั้น และธนาคารแห่งนี้ก็ถูกรัฐบาลอังกฤษขึ้นบัญชีดำแล้ว” เขายังอ้างด้วยว่า การรายงานข่าวบางทีก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานชัดเจนร้อยเปอร์เซนต์ แต่ภาพที่แสดงความเชื่อมโยงและการคว่ำบาตรของอังกฤษและรัฐบาลอื่น ๆ ก็พอจะสรุปภาพของแบงก์แห่งนี้ได้แล้ว

“ทอม ไรท์” ย้ำว่า เขาไม่ได้หวังผลหรือมีจุดมุ่งหมายอะไรในการออกมาเปิดโปง “เบน สมิธ” ครั้งนี้ และไม่ได้ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองไทย แต่แนะว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ควรจับตามองความเคลื่อนไหว การซื้อ-ขายหุ้นจากกองทุนต่างประเทศ ที่อาจไปเชื่อมโยงกับ “ขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชา”
ทีมข่าวตรวจสอบบันทึก การประชุมกรรมาธิการความมั่นคงฯ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการประชุมหน่วยงานความมั่นคง เพื่อตรวจสอบธุรกิจของ “นายยิม เลียก” ว่ามีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับประเทศไทยหรือไม่
เริ่มจาก ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ชี้แจงว่า นายยิม เลียก เดินเข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกด้วยหนังสือเดินทางทางการทูตของประเทศกัมพูชา วันที่ 12 ก.ย.67 ต่อมามีการมีการเดินทางเข้า-ออกอีกหลายครั้ง
ปรากฎว่า มีการเปลี่ยนแปลงจากการใช้หนังสือเดินทางทางการทูต เป็นการเดินทางเข้าประเทศไทยด้วย Thailand Privilege Card (TPC) โดย “ยิม เลียก” เดินทางครั้งสุดท้ายเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 เม.ย.68 และเดินทางออกจากประเทศไทยครั้งสุดท้าย วันที่ 19 มิ.ย.68

ส่วน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ระบุว่า มีการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร พบว่า นายยิม เลียก ใช้ชื่อว่า “นายแหละ ยิม” มีคู่สมรสสัญชาติไทย เป็นทายาทตระกูลอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ มีบุตร 1 คน ไม่มีการยื่นขอแปลงสัญชาติไทยแต่อย่างใด และกฎหมายอนุญาตให้ชาวต่างชาติ มีชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านเล่มสีเหลือง เป็นการชั่วคราวได้
ขณะที่ “พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์” ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 ให้ข้อมูลว่า จากการตรวจสอบ B.I.C Group ยังไม่พบความเชื่อมโยงธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ
โดยช่วงต้นปี พ.ศ.2567 ได้รับแจ้งจากสำนักงาน ปปง. ว่าจะมีการดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สิน เป็นการขยายผลจับกุมแก๊งสแกมเมอร์ โดยมีการประสานกำลังเพื่อเข้ายึดอายัดทรัพย์ 5 เป้าหมาย
ขณะที่ “สมชัย พลายด้วง” ผู้อำนวยการกองคดี 5 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คดีอายัดทรัพย์ของนายยิม เลียก เป็นความเชื่อมโยงจากการดำเนินคดีการฟอกเงิน โดยพบว่า นายยิม เลียก และภรรยามีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางธุรกรรมทางการเงิน แก๊งสแกมเมอร์ ในแถวที่ 10 และแถวที่ 11 จึงมีคำสัง ยึด-อายัดทรัพย์ไว้ 4 คำสั่ง โดยคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับนายยิม เลียก คือ คำสั่งที่ 94/67 มีการอายัดทรัพย์ชั่วคราว รวมเป็นเงินประมาณ 500 ล้านบาท
ต่อมา นายยิม เลียก และภรรยาได้ยื่นคัดค้าน จากการตรวจสอบทรัพย์สินที่ยึดอายัด พบว่า ทรัพย์สินบางรายการ มีการแสดงที่มาของรายได้การประกอบธุรกิจในประเทศไทยชัดเจน จึงมีการเพิกถอนการอายัดทรัพย์สินบางรายการ ขณะนี้สำนักงาน ปปง. อยู่ระหว่างการตรวจสอบผู้เกี่ยวข้อง กับเส้นทางการเงินกับทรัพย์สินที่มีการเพิกถอนไป
สำหรับการ อายัดทรัพย์สิน ของ “ยิม เลียก” เนื่องจากเส้นเงินไปพัวพันกับ คดี น.ส.เดือนนภา แก้วกําเนิด ที่รับจ้างเปิดบัญชีม้า ให้แก่เครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ ที่มีพฤติการณ์แอบอ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทขนส่ง โทรสุ่มหาผู้เสียหายโดยอ้างว่า มีการจัดส่งสิ่งของผิดกฎหมายไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ต่างประเทศ ต้องถูกตรวจสอบ จนเหยื่อหลงเชื่อ

เจ้าหน้าที่ได้ตามอายัดทรัพย์สินของ น.ส.เดือนนภา ตามโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ในกรุงเทพฯ จำนวน 4 รายการ มีบริษัทเอกชนในสิงคโปร์เป็นผู้ถือครอง มูลค่า 95 ล้านบาท 51 รายการ โฉนดที่ดิน 20 แปลง รถยนต์ PORSCHE 1 คัน รถจักรยานยนต์ เครื่องประดับ และอื่น ๆ รวม 60,949,469.77 บาท
ส่วนคําสั่ง ที่ ย. 94/2567 ลงวันที่ 24 เมษายน 2567 ที่เกี่ยวข้องกับนายยิม เลียก มีการตามยึดอายัดทรัพย์ไว้ 67 รายการ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ต่อมาคณะกรรมการธุรกรรม มีคำสั่ง ตามคำสั่งที่ พ. 12/2567 เพิกถอน คณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งเพิกถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว 48 รายการ
ที่เหลืออีก 19 รายการ มูลค่าหลักหลายร้อยล้านบาท ทราบมาว่า จะมีปฏิบัติการครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้ จากตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ปปง. คาดว่า ช่วงต้นเดือนหน้า จะมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับคดีนี้อีกครั้งหนึ่ง
…………….
คอลัมน์ : The Key Reported by Fah kham-ram




















