ผู้แทนศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ “ศทช.ศบท.” หรือ TMAC เปิดเผยข้อมูลกับ คณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ว่า…ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ “อนุสัญญาออตตาวา” เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2540
ประเทศไทยลงนาม เป็นลำดับที่ 33 ของโลกและเป็นลำดับที่ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้สัตยาบันในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ซึ่งมีพันธกรณี 6 เดือนหลังจากการให้สัตยาบัน และมีสายการบังคับบัญชาขึ้นตรงกับกองบัญชาการกองทัพไทย

สำหรับภารกิจที่ต้องดำเนินการในปัจจุบันมีพื้นที่ในความรับผิดชอบจำนวน 12,848,461 ตารางเมตร ครอบคลุม 15 อำเภอ 6 จังหวัด ได้แก่
1) อุบลราชธานี จำนวน 587,121 ตารางเมตร
2) ศรีสะเกษ จำนวน 4,201,758 ตารางเมตร
3) สุรินทร์ จำนวน 2,230,729 ตารางเมตร
4) บุรีรัมย์ จำนวน 267,275 ตารางเมตร
5) สระแก้ว จำนวน 3,696,021 ตารางเมตร
6) ตราด จำนวน 1,865,557 ตารางเมตร
ในการปฏิบัติงานในพื้นที่ มีความหนาแน่นของทุ่นระเบิด และความยากลำบากในการเก็บกู้ และมีความยากลำบากในการเข้าถึงพื้นที่และสภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม นอกจากนี้ ยังพบการทักท้วงและทหารกัมพูชาเข้าขัดขวางการปฏิบัติงาน ของ TMAC รวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง

จากสถานการณ์ปัจจุบัน เกิดการปนเปื้อนใหม่ของสรรพาวุธระเบิด จากการรบ ปะทะ การลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่จากฝ่ายทหารกัมพูชา มีการใช้อาวุธในสถานการณ์สู้รบและมีวัตถุระเบิดบางส่วนตกค้างในพื้นที่
ขณะที่ ผู้แทนกองทัพภาคที่ 1 ให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการฯ เพิ่มเติมว่า การปฏิบัติที่ผ่านมานั้น มีการยื่นหนังสือประท้วงไปยังประเทศกัมพูชา และต้องให้สัญญาว่า จะไม่มีการขัดขวางการดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิด
ส่วนการลาดตระเวนในพื้นที่ ที่มีข้อจำกัด จะมีการตรวจสอบพื้นที่ทุกครั้งที่มีการลาดตระเวน เพื่อป้องกันการแอบวางทุ่นระเบิดซ้ำ สำหรับพื้นที่แนวชายแดน หากมีการตรวจสอบพื้นที่ก่อน เจ้าหน้าที่จะได้ทำเครื่องหมายไว้เพื่อรอการเก็บกู้เพื่อความปลอดภัย
ด้าน กองทัพภาคที่ 2 ให้ข้อมูลต่อที่ประชุมว่า ในส่วนของพื้นที่รับผิดชอบมีอยู่จำนวน 49 พื้นที่ ที่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ บางพื้นที่มียังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับแนวเส้นเขตแดนการปฏิบัติงาน
ที่ผ่านมา พบทหารกัมพูชาพร้อมอาวุธครบมือจำนวนหนึ่ง จึงทำให้การดำเนินการมีความยากลำบาก และในส่วนของพื้นที่สนามทุ่นระเบิด ตรวจพบว่ามีทุ่นระเบิดหนาแน่นเต็มพื้นที่ อีกทั้งพื้นที่ของฝ่ายประเทศกัมพูชา เป็นพื้นที่ราบและฝั่งของประเทศไทยเป็นพื้นที่ป่า ทำให้ยากลำบากต่อการเก็บกู้
จากนั้นที่ประชุม มีประเด็นคำถามเกี่ยวกับการจัดหายุทโธปกรณ์ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ว่าหน่วยสรรพาวุธได้มีการจัดหา เสื้อกันสะเก็ดระเบิด หุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด สิ่งเหล่านี้ ได้สนับสนุนการดำเนินการของ TMAC หรือไม่

ผู้แทน TMAC ให้ข้อมูลว่า การจัดหาดังกล่าวอยู่ในส่วนของกรมสรรพาวุธ โดยยุทโธปกรณ์บางส่วนได้สนับสนุนการดำเนินการของศูนย์ปฏิบัติการหุ่นระเบิดแห่งชาติ เช่น เครื่องตรวจโลหะระยะไกล และเครื่องเอกซเรย์วัตถุระเบิด เป็นต้น
ทั้งนี้ หากยุทโธปกรณ์ที่กองทัพบก และ TMAC ใช้เป็นแบบเดียวกัน จะทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับทุ่นระเบิดมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ในประเด็นนี้ที่ประชุมเห็นว่าควรมีหนังสือแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เพื่อให้มีการสนับสนุนยุทโธปกรณ์และอุปกรณ์ป้องกันให้กันให้กับ TMAC เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับกำลังพล และการจัดหายุทโธปกรณ์ของ TMAC กับกองทัพบกควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้การดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ลุล่วงไปด้วยดีและมีความปลอดภัยต่อกำลังพล ตลอดจนมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ต่อไป
…………….
คอลัมน์ : The Key Reported by Fah kham-ram



















