ปัญหาสงฆ์ไทย ที่ขณะนี้มี “พระเกจิ-พระชื่อดัง” ไปเกี่ยวข้องกับ “สีกากอล์ฟ” และยอมสึกไปแล้ว 9 ราย เลยมีการทบทวนว่า “กฎหมายสงฆ์ที่เกี่ยวข้อง” มีบทบัญญัติลงโทษพระสงฆ์ ฆราวาส ที่หละหลวมเกินไป และต้องมีการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาหรือไม่
ก่อนอื่น เราไปดูบทลงโทษทางพระธรรมวินัย ในข้ออาบัติปาราชิก ถือเป็นการกระทำความผิดสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามไว้ 4 ข้อ ได้แก่
1.การเสพเมถุน
2.การลักทรัพย์
3.การฆ่ามนุษย์
4.การอวดอุตริมนุสธรรม
“ผู้ใดกระทำผิดอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที” เปรียบได้กับ “โทษประหารชีวิต” ของ “พระภิกษุ”
นี่เป็นโทษทางพระธรรมวินัย แต่เมื่อดูโทษทางกฎหมายอาญาสำหรับพระสงฆ์ ที่เสพเมถุน โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวกับสีกากอล์ฟ แทบจะไม่มีบทลงโทษเอาไว้
ปัจจุบัน การเสพเมถุนระหว่างพระภิกษุกับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย หากสมัครใจยินยอมกันทั้งสองฝ่าย จะไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญา แต่พระภิกษุที่กระทำผิดจะได้รับโทษทางพระธรรมวินัย เพียงแค่การ “ลาสิกขา” หรือ “จับสึก”
แต่ถ้าเป็นการข่มขืน กระทำกับเด็ก จะเข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญา หรือพระภิกษุเช่นเจ้าอาวาส ที่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทุจริตใช้จ่ายเงินวัด อาจเข้าข่ายความผิดฐาน ม.157
นี่คือบริบททางกฎหมาย ที่ไม่มีบทกำหนดโทษ สำหรับพระสงฆ์ที่เป็นตัวแทนเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงเกิดช่องว่างสำหรับพระบางรูป ที่หลงมัวเมาทั้งชื่อเสียง เงินตรา กาเม จนทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย

ทีมข่าวได้ตรวจสอบ “บทลงโทษพระสงฆ์” ที่ทำผิดพระธรรมวินัย กับ ประเทศเพื่อนบ้านในทวีปเอเชีย ที่นับถือพระพุทธศาสนา พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
ประเทศ สปป.ลาว
-มีบทบัญญัติทางกฎหมายที่เอาผิดพระภิกษุ สามเณร และผู้ร่วมประเวณี กำหนดโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 3 ปี ปรับตั้งแต่ 500,000-3,000,000 กีบ (ประมาณ 750-4,500 บาท)
เมียนมา
-มี “ศาลสงฆ์” พิจารณาโทษพระผู้สอนผิดธรรม
ศรีลังกา
-มีกฎหมายที่เข้มแข็งเกี่ยวกับกรณีพระเสพเมถุน โดยมีคณะกรรมการบริหารจัดการบัญชีทรัพย์สินวัด และมีบทลงโทษพระที่บิดเบือนคำสอน
ถึงตอนนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จึงมีการหยิบยก ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่ยกร่างไว้ตั้งแต่ปี 2564-2565 ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง มีบทกำหนดความผิดไว้ 7 ข้อ 1 บทลงโทษเดียว ดังนี้
1.ผู้ใดได้รับคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้สละสมณเพศเพราะเหตุต้องอาบัติปาราชิก
ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.ผู้ใดตกเป็นผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญาบวชเป็นพระภิกษุ ทำให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมเสีย
ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.ผู้ใดไม่มีสิทธิบวช หลอกลวงพระอุปัชฌาย์ เพื่อให้ตน มีสิทธิบวช
ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรม ทำเสน่ห์ยาแฝด เรียกเงินค่าเวทมนตร์ ทดลองของขลัง ใบ้หวย หรือประกอบการหากินนอกธรรมเนียมของสมณะ เมื่อมหาเถรสมาคมได้มีคำสั่งตักเตือนแล้วยังคงฝ่าฝืน ให้ภิกษุรูปนั้น สละสมณเพศ และต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5.กำหนดให้ผู้สมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุ หรือสามเณร ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6.ผู้ทำการล้อเลียน ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา
ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 – 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
7.กำหนดให้การกระทำการอันเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมเสีย 2 กรณี คือ
-ผู้ใดที่กระทำการอันเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง เช่น พระภิกษุนำเงินที่ได้จากการทำบุญไปให้บุคคลอื่นเพื่อปกปิดความผิด หรือพระภิกษุไปหลอกลวงชาวบ้าน เป็นต้น
-ผู้ใดทำให้พระภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระธรรมวินัยต้องมีมลทินมัวหมอง ใส่ร้ายว่ากระทำความผิดในพระธรรมวินัย หรือถูกกระทำละเมิด ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ โดยผู้กระทำไม่มีพยานหลักฐาน และผู้กระทำไม่มีอำนาจเข้าไปกระทำการตรวจสอบพระภิกษุตามกฎหมาย
ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-7 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่การแก้ไข ยกร่างกฎหมายขึ้นมาสัก 1 ฉบับ ต้องผ่านสภาฯ ทำประชาพิจารณ์ และใช้เวลานาน ดังนั้น “สุชาติ ตันเจริญ” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนา ได้มีแนวคิด “แก้ไขเพิ่มโทษกฎหมายเดิม” ดังนี้
-ขอให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 206 ที่มีไว้ปกป้องพระพุทธศาสนา โดยเพิ่มบทลงโทษ ให้สามารถเอาผิดพระสงฆ์ สามเณร หรือสามัญชน ที่ร่วมกันเสพเมถุน มีโทษทั้งจำคุก 1-7 ปี และปรับสูงสุด 240,000 บาท
-กำหนดให้วัดถือครองเงินสดได้เพียง 100,000 บาท
-ตรวจสอบบัญชีส่วนตัวของพระ เพื่อไม่ให้มีปัญหา “เปย์สีกา” หรือป้องกันปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จนทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย
หลังจากนี้ จะเร่งดำเนินการ โดยรัฐบาลเจรจาสภาผู้แทนฯ พิจารณาเร่งด่วน 3 วาระรวด เพื่อผลักดันการแก้ไขกฎหมายให้รวดเร็วที่สุด
…………..
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม











