GC เจ้าแรกของประเทศใช้เทคโนโลยี Co-processing เชิงพาณิชย์ บุกตลาด SAF คู่ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ เตรียมขยายเฟส 2 เป็น 24 ล้านลิตรต่อปีรองรับความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพของสายการบินที่กำลังเติบโต พร้อมย้ำศักยภาพต่อยอดผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงคาร์บอนต่ำ
นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่าบริษัทฯมีแผนที่จะขยายโครงการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เฟส 2 ให้เป็น 24 ล้านลิตรต่อปี หรือ พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Polymers และ Bio-Chemicals) จำนวน 80,000 ตันต่อปี จากกำลังการผลิต SAF เฟส 1 จำนวน 6 ล้านลิตรต่อปี หรือพลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ จำนวน 20,000 ตันต่อปี ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 15,000 ตันต่อปีในระยะแรก และ 60,000 ตันต่อปีในระยะที่สอง
ส่วนจะลงทุนเมื่อใดนั้น ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนขอติดตามสถานการณ์ตลาด และการแข่งขัน รวมถึงมาตรการเชิงบังคับต่างๆ เช่น ข้อกำหนด CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) มาตรฐานการชดเชยคาร์บอนขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่กำหนดให้สายการบินที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเกินกว่าที่กำหนดจะต้องชดเชยด้วยการ ‘ซื้อเครดิตคาร์บอน’ หรือใช้ SAF ในสัดส่วนที่กำหนด เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบิน

โดยขณะนี้หลายประเทศมีข้อกำหนดให้สายการบินใช้ SAF เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว เช่น สหภาพยุโรป ที่ให้สายการบินต่างๆต้องใช้ SAF 2% ในปีนี้ และ10% ภายในปี 2573 ซึ่ง GC เป็นพันธมิตรสำคัญกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ OR การบินไทย และสายการบินบางกอกแอร์เวย์สที่ประกาศนำ SAF มาใช้ในเที่ยวบินเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ประเด็นสำคัญของ SAF คือ มาตรฐาน ซึ่งไม่ควรผสมวัตถุดิบต่างๆ อาทิ น้ำมันพืชใช้แล้วเกิน 5% ซึ่งกระบวนการผลิตของ GC ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISCC CORSIA (International Sustainability and Carbon Certification – Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ยอมรับในอุตสาหกรรมการบินสำหรับการรับรองความยั่งยืน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป

นายทศพร ระบุว่า GC เป็นโรงกลั่นแรกที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ Co-processing หรือ กระบวนการผลิตร่วมทั้ง SAF และ เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biorefinery) ซึ่งถือเป็นรายแรกของประเทศ เพื่อรองรับความต้องการ SAF ของสายการบินต่างๆ และขยายผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Chemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bio-Polymers) ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยสัดส่วนการผลิต SAF และ เชื้อเพลิงชีวภาพจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับคำสั่งซื้อที่เข้ามา ในส่วนผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ GC ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านความยั่งยืนอย่าง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification Plus)

โดย GC ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Bio-Propylene สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ พลาสติกแข็ง ของเล่นเด็ก และชิ้นส่วนยานยนต์ Bio-BD (Bio-Butadiene) ใช้ในยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา และ Bio-PTA (Bio-Purified Terephthalic Acid) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET โดยขณะนี้มีตลาดปลายทางในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ตามลำดับ และยังต่อยอด Bio-Naphtha ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติก Bio-PE (Bio-Polyethylene) สำหรับผลิตถุงพลาสติก ฟิล์ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร และ Bio-MEG (Bio-Monoethylene Glycol) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET อีกด้วย

GC ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงอีกกว่า 10 ชนิด ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รองรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593 ทั้งนี้กระบวนการผลิตของ GC มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรและของเสียในประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่าวัสดุจากฟอสซิล แต่ปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญช่วยลดปัญหาของเสีย เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยปัจจุบันได้ทำงานกับชุมชนในจังหวัดระยองเพื่อนำร่อง จัดตั้งศูนย์รวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วอย่างเป็นรูปธรรมสร้างรายได้ให้ชุมชน ซึ่งมีแผนจะขยายกว่า 12 แห่ง











