ททท.เผยเป้าท่องเที่ยวปี 69 แตะ 3 ล้านล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 7% เลื่อนเก็บค่าเหยียบแผ่นดินเป็นกลางปีหน้า เตรียมประชุมระดมสมองฝ่ายบริหาร 14-17 ก.ค.นี้ พร้อมกำหนดนโยบายและทิศทางการตลาดขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ตั้งเป้ารายได้รวมการท่องเที่ยวในปี 69 อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เติบโตไม่น้อยกว่า 7% จากปี 68 ซึ่งมีแนวโน้มปิดที่ 2.87 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศปีนี้ไว้ที่ 1.77 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 35.5 ล้านคน ขณะที่รายได้จากตลาดในประเทศอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านบาท จากคาดการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทย 205 ล้านคน-ครั้ง ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยวางไว้ 3 ล้านล้านบาท หลังรับผลกระทบจากการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติบางประเทศ โดยเฉพาะจีน
สำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง หลังจากกลับมาเปิดระบบลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมใช้สิทธิเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป ททท.คาดว่าจะมีประชาชนใช้สิทธิ 250,000 สิทธิภายในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ และน่าจะมีการใช้สิทธิหมดทั้ง 500,000 สิทธิภายในเดือน ส.ค.
โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 14 ก.ค. เวลา 09.30 น. พบว่ามีประชาชนเข้ามาลงทะเบียนโครงการฯ สำเร็จแล้ว 1,725,238 ราย จำนวนสิทธิที่ใช้สำเร็จแล้ว 119,213 สิทธิ และมียอดสิทธิคงเหลือ 380,787 สิทธิ
ส่วนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ล่าสุดมีจำนวนที่ได้รับการอนุมัติแล้ว 5,748 ราย แบ่งเป็นโรงแรมที่พัก 3,233 ราย ร้านอาหาร 2,172 ราย แหล่งท่องเที่ยว 86 ราย สปาและบริการเชิงสุขภาพ 101 ราย ร้านค้าโอท็อป 106 ราย และบริการรถเช่าเรือเช่า 50 ราย
ทั้งนี้ททท.จะจัดประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการปี 69 เริ่มตั้งแต่วันที่ 14-17 ก.ค.นี้ เพื่อหารือ ระดมสมองจากผู้บริหาร ททท. พร้อมกำหนดนโยบายและทิศทางการตลาดขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีหลายปัจจัยนอกเหนือการควบคุม ซึ่งปัจจุบันมีสำนักงานในประเทศ 45 แห่ง และสำนักงานต่างประเทศอีก 29 แห่ง
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ Travel Fee หรือ ค่าเหยียบแผ่นดินว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยอาจจะต้องขยับไทม์ไลน์การเริ่มจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้ออกไปก่อน เพราะนายสรวงศ์มองว่า ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะจัดเก็บภายในปี 2568 เนื่องจากยังมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ต้องรอดูความเชื่อมั่น การกลับมาของดีมานด์นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงไฮซีซันไตรมาส 4 ปีนี้ก่อน
ขณะเดียวกัน กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดการจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้เพิ่มเติมให้รอบคอบ รวมถึงอัตราการจัดเก็บที่เหมาะสม ซึ่งขึ้นกับรูปแบบการเดินทาง ทั้งทางบก ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ โดยคาดว่าจะเริ่มจัดเก็บค่าธรรมเนียมนี้ได้ประมาณไตรมาส 2-3 ปีหน้า



















