หน้าแรกHighlightภาษีทรัมป์พ่นพิษฉุดจีดีพีซึมยาวถึงปี69 ชี้ศก.ไทยไม่เกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิค

ภาษีทรัมป์พ่นพิษฉุดจีดีพีซึมยาวถึงปี69 ชี้ศก.ไทยไม่เกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิค

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ธปท.ชี้ภาษีทรัมป์ทุบจีดีพีไทยซึมยาวไปถึงปี 69 ปีครึ่งจีดีพีโตเพียง 1.7% เหตุส่งออก-ลงทุน-บริโภคหดตัว ชี้ไทยไม่เกิดเศรษฐกิจไทยภาวะถดถอยเชิงเทคนิค เนื่องจากตัวเลขจะต้องติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาไทยเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคเพียง 4 ครั้งเท่านั้น

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน “Monetary Policy Forum 2/2568” ว่า นโยบายภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว แต่ความรุนแรง แตกต่างจากการระบาดของโควิด-19 และวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 ที่มีความรุนแรงระยะสั้น และเป็นหลุมดิ่งลง ทุกอย่างชะงักงัน แต่ช็อกครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะมีการพูดถึงการขึ้นภาษีมาสักระยะแล้ว แต่จะช็อกยาวไปถึงปี 2569

ซึ่งธปท.ประเมินเศรษฐกิจปี 2569 ขยายตัว 1.7% ถือว่าค่อนข้างต่ำ เป็นภาพเศรษฐกิจไม่ดีอยู่แล้ว และเป็นการเติบโตต่ำกว่า 2% ซึ่งเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ และจะโตต่ำไปอีก 1 ปีครึ่ง แม้ว่าในปี 2568 จีดีพีจะขยายตัว 2.3% จะเห็นว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มาจากตัวเลขจริงที่ออกมาจากแรงส่งภาคการส่งออกที่ออกมาขยายตัวค่อนข้างสูง 12.6% ทำให้การเติบโตเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 2.9-3%

อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีจะเห็นการชะลอตัวค่อนข้างรุนแรง และมีความท้าทายค่อนข้างมาก จะมาจากภาคการส่งออกที่ลดลงรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 3/2568 เป็นต้นไป โดยคาดว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะหดตัว -4.0% และปี 2569 หดตัว -2.0% และจะกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำไม่ถึง 1% และส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคที่ชะลอตัวลงเหลือ 1.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ขยายตัว 3%

ทั้งนี้ มองไปข้างหน้าสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจจะเกิดช็อกได้ ดังนั้น จุดยืนนโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่เหมาะสม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง สามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แต่มองไปข้างหน้า ธปท.พร้อมจะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งพื้นที่การทำนโยบาย (Policy Space) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เศรษฐกิจมีความยืดหยุ่นและทนทาน (Resilience) สามารถรองรับช็อกที่จะเกิดขึ้นยาวนานได้

“การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เรามีประเมินฉากทัศน์หลากหลายมาก ซึ่งตัวเลข Tariffs จะออกมาเท่าไรไม่สำคัญมาก หรือเศรษฐกิจไตรมาสจะขยายตัว -0.1% หรือ +0.1% เท่ากับทิศทางเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเรามองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่ดี”

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ผลกระทบจาก Reciprocal Tariffs ต่อตลาดการเงินโลกและตลาดเงินไทยจากการติดตามาไม่ได้มีผลกระทบ แต่เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม โดยปัจจุบันยังเห็นเศรษฐกิจไปได้ ไม่ได้สะดุดตามตัวเลขจริงที่ออกมา แต่มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจมีความท้าทาย เพราะ Tariffs มีผลทอดยาวกระทบต่อการส่งออก การลงทุน และการบริโภค ซึ่งสถานการณ์จะทอดยาวไปถึงปี 2569

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากตัวเลขจะต้องติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาไทยเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคเพียง 4 ครั้งเท่านั้น

ได้แก่ วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตการเงินโลก การชุมนุมใหญ่ที่มีการปิดสนามบิน และโควิด-19 ซึ่งการเกิดภาวะถดถอยเชิงเทคนิคจะต้องการแรงกระแทกรุนแรงจากภายนอกประเทศ หรือในประเทศจะต้องเกิดเหตุการณ์รุนแรงมาก ซึ่งในปี 2568 และปี 2569 มองอัตราการเติบเฉลี่ยไตรมาสต่อไตรมาส (QOQ) ขยายตัว 0.1% ถือว่าค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตปกติที่อยู่ 0.7-0.8%

ส่วนประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นประเด็นที่ ธปท.ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะที่ผ่านมาปัจจัยทางการเมืองจะมีผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จึงเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ต้องติดตาม

“แรงกระแทก Tariffs ไม่กระทบรุนแรง และตกแรง ๆ เหมือนวิกฤตโควิด-19 แต่แรงกระแทกนี้จะทอดยาวไปยังเซ็กเตอร์ส่งออกไปสหรัฐ และผลจะทอดยาวไป เราจะไม่เห็นช็อกแบบสั้น ๆ ซึ่งเราได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการ 700-800 ราย พบว่าอุปสรรคการทำธุรกิจคือต้นทุน ความสามารถในการแข่งขัน และความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ เขาจะชะลอลงทุน โดยที่ผ่านมา ธปท.ร่วมกับสภาพัฒน์ ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลบอกถึงผลกระทบจาก Tariffs และมาตรการรองรับระยะสั้นและยาว โดยเฉพาะผลกระทบรายเล็ก การจ้างงาน จากปัญหาสินค้านำเข้า การทุ่มตลาดเป็นต้น”

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาเงินเฟ้อต่ำมาจากหมวดราคาพลังงานและอาหารสด ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนจากราคาสินค้าที่ประชาชนบริโภคเป็นประจำยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ยังอยู่ในระดับสูง

โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 อยู่ที่ 0.5% และปี 2569 อยู่ที่ 0.8% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2568 อยู่ที่ 1.0% และปี 2569 อยู่ที่ 0.9% ซึ่งหากดูอัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานในปี 2568 อยู่ที่ -3.2% และปี 2569 อยู่ที่ -1.3% จากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% และอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดปี 2568 อยู่ที่ 1.2% และปี 2569 อยู่ที่ 1.6% จากค่าเฉลี่ย 1.7% ทั้งนี้ จากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว และราคาสินค้าที่ยังสูงต่อเนื่อง ไม่สะท้อนภาวะเงินฝืด

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img