หน้าแรกHighlight‘ไหม’ช็อก!!ภาษี36%ไทยถูกบีบให้จนมุม เหน็บแสบ‘เจรจาล่าช้า’ส่งผลกระทบมาก

‘ไหม’ช็อก!!ภาษี36%ไทยถูกบีบให้จนมุม เหน็บแสบ‘เจรจาล่าช้า’ส่งผลกระทบมาก

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ไหม-ศิริกัญญา” ช็อก!! ไทยโดน “ภาษีทรัมป์” 36% เชื่อเป็นการ “บีบต้อนให้จนมุม” ด้วยเดดไลน์ เพื่อให้คายข้อเสนอใหม่ ชี้เจรจาล่าช้า ส่งผลกระทบมาก เหน็บถ้าทำสัญญาจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์” แล้ว ถือว่า ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะไม่ได้ผลที่น่าพอใจ จี้ “ขุนคลังพิชัย” ปรับงบฯ 69 ใหม่ ให้เข้าสถานการณ์

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.68 ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายขึ้นอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งไทยยังถูกขึ้นในอัตราคงเดิมที่ 36% ว่า เป็นเรื่องค่อนข้างช็อก ตอนแรกที่มีการประกาศว่า จะส่งจดหมาย เรายังไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะอยู่ในรอบแรก เนื่องจากเพิ่งเข้าสู่กระบวนการเจรจาไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคเดียวกันที่ได้รับจดหมาย

“การที่จบที่ 36% คิดว่าเป็นการบีบต้อนให้เราจนมุม ด้วยเดดไลน์ ทำให้ต้องคายข้อเสนอที่ยังตกลงกันไม่ได้ให้มากกว่าเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงอัตราภาษี 36% ดังนั้น 36% คงเป็นอัตราสูงสุดที่เราจะได้รับ คงไม่ได้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้แล้ว เพราะหลายประเทศถูกปรับขึ้นภาษีด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น มาเลเซีย จึงถือว่า ยังมีช่วงเวลาให้เราได้หายใจ เพื่อปรับปรุงข้อเสนอใหม่ ซึ่งข้อเสนอใหม่นี้เข้าใจว่าถูกส่งไปตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.แล้ว จึงต้องรอท่าทีของทางสหรัฐอเมริกา จะเป็นอย่างไร”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

เมื่อถามว่า ข้อเสนอลดสินค้าเกษตรของไทย จะทำให้ผลการเจรจาดีขึ้นหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่า สินค้าเกษตรดังกล่าวมีอะไรบ้าง รวมถึงข้อเสนอที่จะเก็บภาษี 0% ใน 90% ของสินค้าสหรัฐฯที่นำเข้ามาในไทย เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ประกาศไปแล้วว่า จะลดเหลือ 0% ทุกรายการของสินค้าสหรัฐฯ ทำให้ได้ลดอัตราภาษีอยู่ที่ 20% ก็อาจจะทำให้ข้อเสนอของไทย ไม่ได้น่าดึงดูดนัก ขณะเดียวกันเราคงต้องขอดู ทั้ง 90% ของรายการสินค้าสหรัฐฯที่ไทยจะลดภาษีให้ มีอะไรบ้าง ซึ่งอาจเป็นสินค้าที่ทดแทนกันได้ ดังนั้นโอกาสที่จะกระทบต่อเกษตรกรไทย ก็ค่อนข้างสูง

เมื่อถามว่า จำเป็นต้องเทหมดหน้าตักเหมือนเวียดนามหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนัก เพราะหากเทหมดหน้าตัก ก็คงไม่ได้ไปลดไปต่ำกว่า 20% และยังต้องดูอีกว่า ถ้าได้เท่า ๆ กับประเทศคู่แข่ง ไม่ใช่ว่าเราจะได้เปรียบ เพราะขึ้นอยู่กับการทำกำไรของผู้ประกอบการ ตัวอย่างเช่น เวียดนาม หากเขาทำกำไรได้ ราว 20% เขาก็สามารถลดราคาผู้นำเข้าได้ 20% ทำให้เรื่องภาษี ไม่มีผลกระทบต่อเขาเลย ซึ่งในขณะที่ไทย เสียเปรียบในต้นทุนการผลิตสินค้า ที่มีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น ค่าไฟฟ้า และวัตถุดิบอื่น ๆ ทำให้เราไม่สามารถตัดราคาแข่งกับคู่แข่งได้ จึงต้องมาดูแล รายละเอียดรายสินค้าอีกทีหนึ่ง

“ส่วนเรื่องของการย้ายฐานการผลิต ก็เป็นเรื่องที่หนึ่งที่ไทยต้องกังวลขึ้น ตอนนี้ฝุ่นยังตลบค่อนข้างมาก ยังไม่รู้ว่าภาษีสุดท้ายจะอยู่ที่เท่าไหร่ และความสามารถในการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนก็ไม่เท่ากัน ไม่คงที่ สินค้าที่สามารถย้ายฐานการผลิตได้ง่ายก็อาจจะตัดสินใจย้าย แต่สุดท้าย ก็ต้องรอการเจรจาให้เสร็จสิ้นลงก่อนทุกประเทศ ซึ่งคู่แข่งอาจจะไม่ใช่ในภูมิภาคเดียวกันด้วยซ้ำไป เพราะอินเดีย ขณะนี้ก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของนักลงทุน เช่น สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์”รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา ยอมรับว่า ตอนนี้เรายังพอมีหวังที่จะได้ลดอัตราภาษี การขยับเดดไลน์ครั้งนี้ เป็นการขยับเดดไลน์การจัดเก็บภาษี จากที่จะเริ่ม 9 ก.ค. ขยับไปเป็น 1 ส.ค. ถึงแม้เราจะได้เจรจาไปแค่ครั้งเดียว แต่ก็ได้ส่งข้อเสนอใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นโอกาสที่เราจะได้ลดอัตราภาษีน้อยลงกว่า 36% ยังมีอยู่ จึงต้องลุ้นว่า ข้อเสนอที่ส่งไปใหม่สหรัฐอเมริกาจะยอมรับหรือไม่ และก็ต้องคำนึงด้วยว่า สิ่งที่เราเสียสละไป เพื่อที่จะแลกกับอยู่บนโต๊ะเจรจา มีสินค้าตัวไหนที่ได้รับผลกระทบ

“การบีบการขู่ ด้วยจดหมายแบบนี้ เอาเดดไลน์มาบีบ ให้เราจนมุมขนาดนี้ ก็ทำการทำให้การเจรจามีแรงกดดันสูงมากๆ จึงไม่แน่ใจว่า เราได้ให้อะไรที่ไม่สมควรที่จะให้ไว้หรือไม่ เพราะไม่ได้มีการเปิดเผยเป็นทางการต่อสาธารณะเลย เพราะถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ ก็คงต้องเตรียมแผนรองรับ และยาว ๆ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทางภาคส่งออกเอง ถ้าโดน 20% ก็ไม่ได้หมายถึงว่า เราจะแข่งขันได้ หรือโดนเกิน 20% เพราะเราไม่ได้ให้ข้อเสนอที่ดีแบบทางเวียดนาม ก็ต้องยิ่งเตรียมตัวรับผลกระทบหนัก”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า หลังการเจรจาเดือน เม.ย. ยังไม่ค่อยเห็นรัฐบาลเตรียมการ เยียวยาผลกระทบให้กับผู้ส่งออกและเกษตรกร ที่ผ่านมามีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ประมาณหมื่นล้านเศษ ให้กับผู้ที่รับผลกระทบกับสงครามการค้า แต่มันน้อยนิดเหลือเกิน ซึ่งโครงการที่ใหญ่ที่สุด คือให้ประกันสังคมปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อพยุงการจ้างงาน ไม่แน่ใจว่าจะพยุงได้กี่ตำแหน่งงาน ถือมีความเสี่ยงมาก เนื่องจากหน้าตักทางการคลัง ก็ลดน้อยลงไปทุกที

ศิริกัญญา ตันสกุล

น.ส.ศิริกัญญา ยังกล่าวถึงการจ้างล็อบบี้ยิสต์ เพื่อเจรจากับสหรัฐฯว่า ตนเป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ไม่แน่ใจว่าได้ทำสัญญากันไปครบถ้วนหรือไม่ ทั้งทางฝั่งของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ แต่คาดว่า น่าจะยังทำสัญญาได้ไม่เสร็จสิ้น เพราะถ้าจะทำสัญญาแล้ว จ่ายเงินไปกว่า 200 ล้านบาท น่าจะได้ผลการเจรจาที่ดีกว่านี้ ได้พบคนสำคัญมากกว่านี้ จึงขอภาวนาว่า ยังใช้เงินไม่หมด และใช้เงินน้อยกว่า 200 ล้านบาท เพราะผลที่ได้ ไม่ค่อยน่าพึงพอใจเท่าไหร่ และก็ยังพูดได้ยากว่า เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่ เพราะยังไม่เซ็นสัญญาว่าจ้าง ถ้าทำสัญญาเรียบร้อยแล้วทั้ง 2 หน่วย ก็จะเสียเงินเดือนละ 400,000 บาท US Dollar หรือเป็นอัตราที่สูงมาก ก็คงต้องถือว่าเป็นการตำน้ำพริกมาละลายแม่น้ำจริง ๆ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ในคณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 พรรคประชาชนเสนอจัดทำงบประมาณใหม่ ให้สอดรับกับสถานการณ์เรื่องการขึ้นกำแพงภาษีสหรัฐ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการตอบรับ ทำให้จะเสนอใหม่อีกครั้ง แต่ต้องให้นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการมาอธิบายก่อน

เมื่อถามว่า มีการเปรียบเทียบว่า ประเทศกัมพูชาได้ลดจาก 49% เหลือ 36% เท่าไทย น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตามที่ประกาศใหม่ ไม่มีประเทศไหนได้เกิน 40% กัมพูชาบอกว่า เจรจาเรียบร้อยแล้วและกำลังจะแถลง แต่ก็โดนจดหมายนี้ด้วย แต่เมื่อดูปริมาณการค้ากับทางสหรัฐอเมริกา กัมพูชาถือว่าเบาบางมาก และไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ได้เปรียบเสียเปรียบอะไร แต่ที่สำคัญคือกัมพูชาได้เจรจาก่อนหน้าไทย ไปที่สหรัฐอเมริกาเหมือนกัน ไม่แน่ใจมีความคืบหน้าไปกว่าประเทศไทยหรือไม่

เมื่อถามว่า เป็นเพราะเราเริ่มช้าหรือไม่ ทำให้ผลการเจรจาออกมาแบบนี้ น.ส.ศิริกัญญา ยอมรับว่า มีผลมาก เพราะตอนนี้หลาย ๆ ประเทศ เหลือรายละเอียดอีกไม่กี่อย่าง ที่ยังตกลงกันไม่ได้ และการที่พูดคุยกันหลายรอบ ก็มีการปรับเปลี่ยนข้อเสนอกันตามเดดไลน์ที่กำหนด เหลือเพียงเล็กน้อยก็บรรลุข้อตกลง แต่สำหรับประเทศไทยกลายเป็นว่า พูดคุยไปเพียงแค่ครั้งเดียว และโดนบีบให้จนมุม ด้วยเดดไลน์ที่กระชั้นชิด ทำให้เราต้องยื่นข้อเสนออะไรบางอย่าง ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูง อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้รัฐบาลออกมาเปิดเผยอย่างจริงจังในข้อเสนอล่าสุดที่ส่งให้สหรัฐฯไป รวมไปถึงจะต้องได้รับผลกระทบอะไรบ้าง และจะมีการเยียวยาอย่างไร

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img