รมช.กลาโหมเผย กองทัพภาคที่ 2 ไทยหารือภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา เดินหน้าปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมรัฐบาล เริ่มถอนจรวด–ปืนใหญ่ขนาด 155 มม. เป็นเฟสแรก ภายใน 21 วัน พร้อมย้ำไม่เปิดด่านชายแดน ยืนยันเป้าหมายสร้างสันติสุขยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศรีสมาน พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการหารือระหว่างกองทัพบกไทยและกัมพูชา ว่าในวันนี้ กองทัพภาคที่ 2 ของไทยได้เดินทางไปพูดคุยกับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ตามข้อตกลงที่รัฐบาลทั้งสองประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามร่วมกันไว้ก่อนหน้านี้
พล.ท.อดุลย์ กล่าวว่า กองทัพบกได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 2 ดำเนินการหารือใน 4 ประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการขนย้ายอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง ซึ่งจะดำเนินการเป็น 3 เฟส เริ่มจากการถอนอาวุธประเภทจรวดและปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรขึ้นไป ภายในระยะเวลา 21 วัน โดยจะมีคณะผู้แทนจากทั้งสองฝ่าย รวมถึงผู้แทนอาเซียน (AOT) เข้าตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปตามข้อตกลง
“อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ากองทัพปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ หากไม่เชื่อ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่เราจะพูดคุยกันในระดับนี้” พล.ท.อดุลย์ กล่าว
เมื่อถามว่าหากฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินการอย่างไร พล.ท.อดุลย์ ตอบว่า “ให้คอยดู เพราะตอนนี้คุยกันในระดับรัฐบาลแล้ว และได้กำหนดขั้นตอนชัดเจน ทั้งการถอนอาวุธร้ายแรงในเฟสแรก รวมถึงแผนถอนอาวุธในระดับรองลงมา และรถถังในเฟสสุดท้าย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับแม่ทัพภาคที่ 2”
พล.ท.อดุลย์ ย้ำว่า “ยืนยันชัดเจน ไม่มีการเปิดด่านแน่นอน ไม่ต้องกังวล” พร้อมระบุว่า หลังการถอนอาวุธ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมประเมินสถานการณ์อีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันได้สิ้นสุดลงจริง และสามารถก้าวสู่ความร่วมมืออย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน
เมื่อถามถึงการปรับลดกำลังทหาร พล.ท.อดุลย์ กล่าวว่า “เมื่อถอนอาวุธก็ต้องปรับลดกำลังพลประจำปืนไปด้วย แต่ไม่กระทบต่อกำลังรบหลัก เช่น ทหารม้าหรือทหารราบ” พร้อมชี้แจงว่าการเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ต้องเป็นไปตามระเบียบราชการทุกขั้นตอน เพื่อความโปร่งใสและปลอดภัย
ก่อนปิดท้าย พล.ท.อดุลย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า “อาชีพทหารมีกรรม แต่เรายังมีหน้าที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติและสันติสุขของประชาชน”



















