หน้าแรกHighlight“พิพัฒน์”ถกหน่วยงานแก้ปัญหารถไฟความเร็วสูง“เชื่อม 3 สนามบิน”ดีเลย์!

“พิพัฒน์”ถกหน่วยงานแก้ปัญหารถไฟความเร็วสูง“เชื่อม 3 สนามบิน”ดีเลย์!

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“พิพัฒน์” นัดหน่วยงานรัฐประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินล่าช้า 3 พ.ย.นี้ ก่อนจะนำไปเจรจาเอกชนคู่สัญญา

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า ในวันที่ 3 พ.ย.นี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชุมหารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ก่อนจะนำไปเจรจาเอกชนคู่สัญญา

โดยต้องการให้เดินหน้าโครงการให้สอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งมีความเห็นประเด็นการแก้ไขสัญญาร่วมทุน ด้วยการปรับรูปแบบการจ่ายเงินสนับสนุนของรัฐ จากเดิมสร้างเสร็จแล้วจ่าย ปรับเป็นจ่ายเป็นงวดงานในลักษณะสร้างไปจ่ายไป 

สำหรับแนวทางดังกล่าวนายพิพัฒน์เห็นว่าขัดกับหลักการของสัญญา โดยหากอัยการมีความเห็นเช่นนี้จึงทำให้กระทรวงคมนาคมจะไม่ดำเนินการแก้ไขสัญญาต่อ เพราะถือเป็นกระทำที่ผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ นายพิพัฒน์ มีแนวคิดที่จะเจรจาเพื่อหาแรงจูงใจในการลงทุนโครงการนี้เพิ่มขึ้น โดยเจรจากับเอกชนคู่สัญญา คือ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด เพื่อรับดำเนินโครงการช่วงส่วนต่อขยายจากท่าอากาศยานอู่ตะเภาไปยังเมืองระยอง จันทบุรี และสิ้นสุดที่ตราด ซึ่งถือเป็นส่วนต่อขยายที่จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น มีผู้โดยสารมากขึ้น และคุ้มค่าต่อการลงทุน

อย่างไรก็ดี หากเอกชนรับข้อเสนอออปชันเสริมนี้ จะมีการเจรจาทำสัญญาใหม่หรือสัญญาต่อเนื่อง โดยมีเงื่อนไขกำหนดต้องเจรจาผลตอบแทนให้กับรัฐเพิ่มเติมด้วย เพื่อยืนยันว่าออปชันเสริมไม่ได้ทำเพื่อเอื้อเอกชน เพราะรัฐจะยังได้ผลตอบแทนเพิ่มเติม และการสร้างส่วนต่อขยายออกไป เกิดประโยชน์กับประชาชนสร้างโอกาสในการใช้บริการเพิ่มเติม 

ส่วนประเด็นที่ เอเชีย เอรา วัน ยื่นข้อเสนอขอรับการเยียวยามีสาระสำคัญ เช่น การชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL)  ซึ่งแนวทางแก้ไขสัญญาได้กำหนดให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่าๆ กัน และต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา การปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการที่ปรับเป็นรูปแบบ สร้างไปจ่ายไป โดยทำให้รัฐต้องจ่ายค่าสนับสนุนงานโยธาเร็วขึ้น เป็นการจ่ายตามงวดงาน ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขกำหนดว่าเอกชนจะต้องวางหลักประกันเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้กระทบกรณีการทิ้งงาน

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img