น.อ.อนุดิษฐ์ ยืนยันพรรคกล้าธรรมเดินหน้าเต็มกำลัง เตรียมเปิดตัวผู้สมัครทั่วประเทศเดือนธันวาคมนี้ ชี้ผลงานรัฐมนตรีคือคำตอบของยุทธศาสตร์พรรค ส่วนชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้รอฟังจากมติกรรมการบริหารพรรค ยันทุกวิกฤตคือโอกาสก่อนศึกเลือกตั้ง 2569.
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมก่อนการเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 โดยยืนยันว่า พรรคกล้าธรรมจะทยอยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ทั่วประเทศตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้ และมีความพร้อมส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขต อย่างแน่นอน
น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุว่า ยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดของพรรค คือผลงานรูปธรรมของรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรค ซึ่งปรากฏชัดในหลายกระทรวง ทั้งด้านราคาสินค้าเกษตร การผลักดันการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การดูแลสวัสดิการครูและการปรับโครงสร้างหนี้ในกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้พรรคมั่นใจในการเสนอนโยบายต่อประชาชน
เมื่อถามถึงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค หลังพรรคภูมิใจไทยเปิดตัวผู้ท้าชิง 3 รายชื่อแล้ว น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า พรรคกล้าธรรมจะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ตามกฎหมาย โดยต้องผ่านการพิจารณาของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งจะคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติและตอบโจทย์ประชาชน พร้อมย้ำว่า “ขอให้อดใจรอ” ส่วนจะเป็นบุคคลในพรรคหรือคนนอกนั้นยังไม่ขอเปิดเผย
เมื่อถูกถามว่า แคนดิเดตอันดับหนึ่งจะเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือไม่ เจ้าตัวระบุว่าเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค พร้อมมองว่า “การคาดเดาเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรรอฟังข้อเท็จจริงจะดีที่สุด”
กรณีปัญหาภายในพรรคและสมาชิกบางรายเผชิญกระแสอื้อฉาว น.อ.อนุดิษฐ์ ยืนยันว่า “ทุกวิกฤตมีโอกาส” และพรรคได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกับฝ่ายค้านและสังคมแล้ว พร้อมให้ประชาชนตัดสินจากจำนวน ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
สำหรับกรณี นายชลพัฒน์ นาคสั้ว ส.ส.สงขลา ซึ่งถูก ปปง.อายัดทรัพย์ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า การชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กน่าจะชัดเจนแล้ว และควรปล่อยให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจนกว่าคดีถึงที่สุด ย้ำว่า พรรคไม่เรียกร้องให้ ส.ส. ที่มีคดีความลาออก เพราะยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ตามหลักกฎหมาย
ส่วนกระแส “ยุบสภา” และการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านนั้น น.อ.อนุดิษฐ์มองว่า ฝ่ายค้านมีสิทธิดำเนินการได้ตามบทบาท แต่ควรพิจารณาความเหมาะสม เพราะรัฐบาลเพิ่งเริ่มทำงานเพียง 4 เดือน และมีข้อตกลงเอ็มโอเอกับพรรคร่วมรัฐบาล จึงควรคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ



















