“นันทพงษ์” เผยส่งออกเดือนต.ค. มีมูลค่า 28,835.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.7% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 แรงหนุนสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 8.8% ขณะที่ตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ- จีน -สหภาพยุโรปยังเติบโต
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนต.ค. 2568 มีมูลค่า 28,835.6 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.7 % ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 15.7 % ขณะที่นำเข้า มีมูลค่า 32,272.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 16.3 % ดุลการค้า ขาดดุล 3,436.9 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป รวมถึงตลาดรอง เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ที่ยังคงขยายตัวได้ดี แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แรงสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง รวมถึงสินค้ากลุ่มยานยนต์ และภาคการผลิตโลกที่อยู่ในภาวะขยายตัว จากผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัว
ส่วนการส่งออก 10 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวที่ 13.0 % มูลค่า 28,835.6 ล้านดอลลาร์ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 13.8 % ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 286,848.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.4 % ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 286,848.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.4 % ดุลการค้า ขาดดุล 3,866.2 ล้านดอลลาร์
โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 8.8% ขยายตัวต่อเนื่อง 19 เดือน ซึ่งมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงสวิตซ์และแผงควบคุมไฟฟ้า
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 17.5%
ส่วนส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 5.1 % โดยสินค้าเกษตร หดตัว 14.6 % ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 6.2 % มีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ยางพารา ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และเครื่องดื่ม) ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 0.03%
การส่งออกไปตลาดสำคัญขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง หลังมีการเร่งนำเข้าไปค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ โดยตลาดหลัก ขยายตัว 10.2 % ประกอบด้วย ตลาดสหรัฐฯ 32.9 % จีน 9.3% ญี่ปุ่น 1.9 % สหภาพยุโรป (27) 9.9 % และอาเซียน (5) 5.4 % ขณะที่ตลาด CLMV หดตัว 15.6 % ด้านตลาดรอง ขยายตัวร้ 7.2 % โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ 24.7 % ตะวันออกกลาง 9.4 % ลาตินอเมริกา 18.4 % ขณะที่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย 0.2% ทวีปแอฟริกา 3.0 % รัสเซีย กลุ่ม CIS 5.0 % และสหราชอาณาจักร 10.3 % ตลาดอื่น ๆ หดตัว 70.5 %
อย่างไรก็ตาม ช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ (พ.ย.-ธ.ค.) คาดว่าการส่งออกของไทยจะมีมูลค่า 25,000-26,000 ล้านบาท ก็จะส่งผลให้การส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ 10.7-11.4 % หากขยายตัวได้ 10.7 % มีมูลค่า 332,982 ล้านดอลลาร์ แต่หากขยายตัว 11.7 % มูลค่า 334,982 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกในปี 69 คาดว่าจะชะลอตัวจากฐานปี 68 ที่สูงจาก ภาษีสหรัฐ ปัญหาจีโอโพลิติกส์ หรือความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังเป็นบวกคาดว่าน่าอยู่ที่ 5 %
” แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีความต้องการในระดับสูง รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายปี และปริมาณสินค้าเกษตรของไทยที่อาจลดลงจากปัญหาอุทกภัย ล้วนเป็นปัจจัยที่กระทรวงพาณิชย์ต้องติดตามต่อไป”
