สวนดุสิตโพลเผยคะแนนดัชนีการเมืองไทยเดือนพฤศจิกายน 2568 ลดลงต่อเนื่อง เหตุประชาชนไม่พอใจการบริหารจัดการน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่ แม้มาตรการคนละครึ่งพลัสช่วยพยุงคะแนนรัฐบาลบางส่วน ขณะเดียวกันฝ่ายค้านกลับโดดเด่น โดยเฉพาะ”ณัฐพงษ์” หลังเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ และลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยอย่างเข้มข้น
เมื่อวันที่ 30 พ.ย.สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจ “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน 2568” จากกลุ่มตัวอย่าง 2,208 คนทั่วประเทศ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 25–28 พฤศจิกายน 2568 พบว่าคะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.90 คะแนน ลดลงจากเดือนตุลาคมซึ่งได้ 4.02 คะแนน
สำหรับตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ “ผลงานของฝ่ายค้าน” เฉลี่ย 4.46 คะแนน ส่วนตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ “การแก้ปัญหาความยากจน” เฉลี่ยเพียง 3.44 คะแนน ขณะที่นักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นในสายตาประชาชน พบว่า ฝั่งรัฐบาลส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดโดดเด่น คิดเป็นร้อยละ 57.34 อันดับรองลงมาคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 23.46 ส่วนฝั่งฝ่ายค้าน ผู้ที่โดดเด่นที่สุดคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 39.49 รองลงมาคือ น.ส.รักชนก ศรีนอก ร้อยละ 31.97
ผลงานรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุดในเดือนนี้ คือ “คนละครึ่งพลัส” ร้อยละ 39.51 ส่วนผลงานฝ่ายค้านที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 49.72
ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า แม้มาตรการคนละครึ่งพลัสจะช่วยประคองคะแนนรัฐบาลจากการบรรเทาค่าครองชีพ แต่ยังไม่สามารถยกระดับคะแนนผลงานของนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยหาดใหญ่สะท้อนปัญหาการบริหารจัดการที่ยังไม่ตอบโจทย์ประชาชน ขณะที่ฝ่ายค้าน แม้คะแนนภาพรวมจะลดลงเช่นกัน แต่คะแนนนิยมของนายณัฐพงษ์เพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อประชาชน แต่ยังส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ
ด้าน รศ.ดร.รุ่งภพ คงฤทธิ์ระจัน รองคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ผลโพลสะท้อนว่าประชาชนยังคาดหวังการแก้ปัญหาปากท้องเป็นหลัก โดยโครงการคนละครึ่งพลัสเป็นนโยบายที่สร้างความพึงพอใจได้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ปัญหาการว่างงานและคะแนนความพึงพอใจด้านเศรษฐกิจที่ลดลง ถือเป็นโจทย์ท้าทายสำคัญของรัฐบาลอนุทินในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าครองชีพอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์ด้านเศรษฐกิจอาจส่งผลลบต่อความนิยมในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า



















