รัฐบาลปรับเพดานค่าจ้างใช้คำนวณเงินสมทบประกันสังคมครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 30 ปี ให้สอดรับเศรษฐกิจยุคใหม่ เริ่มปี 2569 ปรับเพิ่มแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี สูงสุด 23,000 บาทต่อเดือน ชี้ช่วยเพิ่มสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน พร้อมเสริมเสถียรภาพกองทุนระยะยาว
เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.อัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงที่ใช้เป็นฐานคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ตามข้อเสนอของกระทรวงแรงงาน โดยมีวัตถุประสงค์ให้การคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 33 สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน หลังจากกฎกระทรวงฉบับเดิมประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ไม่ทันต่อโครงสร้างค่าจ้างที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
รองโฆษกฯ ระบุว่า เดิมเพดานค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินสมทบกำหนดไว้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ทำให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่านั้นต้องจ่ายเงินสมทบเท่ากัน และได้รับสิทธิประโยชน์ไม่สอดคล้องกับรายได้จริง ขณะที่อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันปัจจุบันปรับสูงสุดถึง 400 บาทต่อวัน แต่ยังต้องใช้ฐานข้อมูลตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจของแรงงานยุคนี้ และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
สำหรับร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่ จะปรับเพดานค่าจ้างแบบขั้นบันไดทุก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป ดังนี้
ปี 2569–2571: เพดานค่าจ้าง 17,500 บาทต่อเดือน
ปี 2572–2574: เพดานค่าจ้าง 20,000 บาทต่อเดือน
ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป: เพดานค่าจ้าง 23,000 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ อัตราเงินสมทบยังคงอยู่ที่ร้อยละ 5 เช่นเดิม เช่น ในช่วงปี 2569–2571 ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะจ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน จากเดิม 750 บาท พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น อาทิ เงินลาป่วย เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต และเงินชราภาพ
น.ส.อัยรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับเพดานครั้งนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กองทุนประกันสังคม สามารถรองรับภาระจ่ายสิทธิประโยชน์ในระยะยาว ขณะเดียวกันทำให้ผู้ประกันตนได้รับความคุ้มครองที่สะท้อนค่าจ้างจริงมากขึ้น ทั้งในส่วนของเงินชดเชยกรณีเจ็บป่วยและเงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต ส่วนรัฐบาลเองก็จะมีภาระสมทบเพิ่มขึ้นตามเพดานใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนเพื่อเสริมความมั่นคงของระบบประกันสังคมในอนาคต.



















