“นันทพงษ์” เผย เงินเฟ้อเดือนพ.ย. ติดลบ 0.49% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 หลังราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ปรับลดลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก-มาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ
นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า เงินเฟ้อเดือนพ.ย. ติดลบ 0.49% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 แต่เป็นการลดลงในอัตราที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนต.ค. สาเหตุมาจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน และน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับลดลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ
โดยหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ติดลบ 1.13 % จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งค่ากระแสไฟฟ้า แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน ของใช้ส่วนบุคคล เช่น น้ำยาระงับกลิ่นกาย สบู่ถูตัว ครีมนวดผม แชมพู ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แป้งผัดหน้า
รถยนต์ ค่าโดยสารเครื่องบิน เสื้อผ้า อาทิ เสื้อยืดบุรุษ สตรี และเด็ก เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี กางเกงขายาวบุรุษ และสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดบางชนิด เช่น ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยารีดผ้า น้ำยาถูพื้น ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว/น้ำยาซักผ้าขาว
ขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้น สูงขึ้น 0.54 % หลังจากลดลงต่อเนื่องมา 3 เดือน จากการสูงขึ้นของราคาผักสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก อยู่ที่ 0.66 % เฉลี่ย 11 เดือน (ม.ค. – พ.ย.) ของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปี 2567 ติดลบ 0.12 %
“การที่เงินเฟ้อติดลบติดต่อกัน 8 เดือน แต่เป็นเพราะราคาพลังงาน และมาตรการช่วยลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ โดยเงินเฟ้อไทยเคยติดลบมากสุด 12 เดือน ช่วงปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทั้งปีลบ 0.85% และช่วงปี 2558 ที่ติดลบ 10 เดือน ซึ่งเป็นช่วงราคาน้ำมันตลาดโลกลด ทำให้ทั้งปีลบ 0.90% ในส่วนของสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อไม่มาก เพิ่มขึ้นเพียง 0.01-0.05% ”
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนต.ค. 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.76 % โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 3 จาก 132 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข คือบรูไน ติมอร์-เลสเต สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว
ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2569 จะอยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 % ค่ากลางอยู่ที่ 0.5 % โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่ ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ประกอบกับเกษตรกรมีแนวโน้มลดปริมาณการเพาะปลูกสินค้าที่ราคาต่ำในปีก่อนหน้า ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทจะเข้าสู่ตลาดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น และ ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 34.9 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจาก 33.4 ล้านคน ในปี 2568) และมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ 2.79 ล้านล้านบาท ทำให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องอาจปรับราคาสูงขึ้น
ส่วนปัจจัยกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2568 ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน ค่าโดยสารสาธารณะ และการตรึงราคาก๊าซ LPG (3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.7 % ในปี 2569 ต่ำกว่าปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 2.0 % และเป็นการขยายตัวต่ำกว่า3.0 %เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ และขาดแรงส่งไปยังเงินเฟ้อด้านอุปสงค์
รวมทั้งมีแนวโน้มนำเข้าเงินเฟ้อต่ำจากต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศสำคัญขยายตัวในระดับต่ำ ส่งผลให้มีการผลิตและการส่งออกสินค้าที่ราคาลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ไทยนำเข้าสินค้าราคาต่ำ โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์



















