นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ดีเอสไอ ตรวจอุปกรณ์ขุดบิตคอยน์จำนวนมากจากปฏิบัติการทลายเครือข่ายเหมืองเถื่อน ย้ำพฤติกรรมลอบใช้ไฟเป็นการกระทำอุกอาจ พร้อมสั่งขยายผลเอาผิดทุกระดับ ไม่เว้นตำแหน่งหรือสถานะใด ระบุการทำงานกรมราชทัณฑ์และคดีต่าง ๆ ต้องเดินตามกฎหมาย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจสอบของกลางในคดีเหมืองบิตคอยน์เถื่อน หลังดีเอสไอสนธิกำลังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคบุกทลายแหล่งขุดผิดกฎหมาย 7 จุด ยึดเครื่องขุดบิตคอยน์กว่า 3,600 เครื่อง มูลค่ารวมกว่า 270 ล้านบาท พร้อมอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าจำนวนมาก
นายอนุทินกล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เพียงจับกุมผู้กระทำผิด แต่ยังพบพฤติการณ์ลักลอบใช้ไฟฟ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการกระทำที่ “อุกอาจ” และสร้างความเสียหายต่อรัฐ จึงสั่งให้ดีเอสไอขยายผลในประเด็นการลักไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด
นายกรัฐมนตรีระบุว่า การดำเนินงานของดีเอสไอยึดนโยบาย “ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม” คือไม่สนใจว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นใครหรือมีตำแหน่งใด หากกระทำผิดก็ต้องเปิดชื่อและดำเนินคดีตามพฤติการณ์ ไม่มีข้อยกเว้นแม้เป็นนักการเมือง พร้อมย้ำว่าในครั้งนี้ไม่ได้มาพูดคุยเรื่องอื่นหรือคดีอื่นใดเพิ่มเติม
เมื่อถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกรมราชทัณฑ์ นายอนุทินระบุว่า ได้ให้นโยบายกับรมว.ยุติธรรมไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องสั่งการอธิบดีคนใดเป็นพิเศษ ทุกอย่างต้องดำเนินไปตามกฎหมาย ทั้งกรณีคดีฮั้ว ส.ว., คดีเขากระโดง รวมถึงประเด็น “คุกวีไอพี” ที่ได้มอบหมายให้รมว.ยุติธรรมดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
นายอนุทินย้ำทิ้งท้ายว่า
“ท่านไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมเพื่อนน้อย และไม่มีหนี้ที่ต้องตอบแทนใคร”
พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยไม่มีใครมีอำนาจเหนือกฎหมายได้



















