ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 31.94 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น” ติดตามผลประชุมเฟด – การเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งไทย-กัมพูชาปะทุ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.94 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.03 บาทต่อดอลลาร์ (ระดับปิด ณ วันพฤหัสบดี ที่ 4 ธันวาคม) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันพฤหัสฯ สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดของตลาดการเงินไทย (แกว่งตัวในกรอบ 31.81-32.08 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับจังหวะการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ (โอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดเกิน 90%)
อย่างไรก็ดี ในช่วงคืนวันศุกร์ 5 ธันวาคม การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ถูกชะลอลงและเงินบาทเริ่มทยอยอ่อนค่าลงบ้าง หลังราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลง ท่ามกลางแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด หลังตลาดการเงินสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดก็อาจต้องการปรับสถานะถือครองบ้าง ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางประเด็นความไม่แน่นอนของปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจกระทบต่อแนวโน้มอุปทานน้ำมันจากทั้งฝั่งรัสเซีย และเวเนซุเอลา
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ ผลการประชุม FOMC ของเฟด พร้อมทั้งรอติดตาม พัฒนาการประเด็นความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทั้ง การเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ สหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC ของเฟด) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 02.00 น. ของเช้าวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยเราประเมินว่า เฟดอาจมีมติ “ไม่เป็นเอกฉันท์” ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.50-3.75% หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อจากผลของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ได้มากอย่างที่เฟดรวมถึงผู้เล่นในตลาดเคยกังวลก่อนหน้า โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลงกลับสู่เป้าหมายของเฟดได้
ส่วนของคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เรามองว่า Dot Plot ใหม่ของเฟดอาจไม่ได้แตกต่างกับ Dot Plot จากการประชุมเดือนกันยายน ในแง่ของ ค่ากลาง หรือ Median ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละปี ทว่า Dot Plot อาจมีการกระจายตัวมากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีความแตกต่างกันพอสมควร
ทั้งนี้ควรระวังความผันผวนในตลาดที่อาจพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากผลการประชุมไม่ได้เป็นไปตามที่ตลาดคาด อีกทั้ง ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference ยังไม่ได้ส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่ชัดเจน หลังล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 96% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมราว 2-3 ครั้ง ในปี 2026 และนอกเหนือจากผลการประชุม FOMC ของเฟด ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของข้อมูลตลาดแรงงาน อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เป็นต้น
▪ ยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งยูโรโซนและอังกฤษ อาทิ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนตุลาคม ของอังกฤษและเยอรมนี นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังทางการสหรัฐฯ เดินหน้าเร่งหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
▪ เอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) และอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลต่อการตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเฉพาะในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 89% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ส่วนในฝั่งจีน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนพฤศจิกายน
ส่วนของนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดต่างประเมินว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% ต่อ หลังเศรษฐกิจออสเตรเลียยังพอได้แรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง ส่วนตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ทว่าอัตราเงินเฟ้อนั้นยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ RBA อาจดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง
▪ ไทย – แม้จะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทว่าประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง อาจเป็นที่ติดตามของผู้เล่นในตลาดอย่างใกล้ชิด ว่าจะทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวอาจเป็นเพียงแค่ Noise ในช่วงระยะสั้นและอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินไทยมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างให้ความสำคัญกับผลการประชุม FOMC เป็นหลัก
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ทำให้เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down และอาจจบสิ้นปี 2025 แถวโซน 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งภาพดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่จากการประเมินสถานะถือครอง ผ่านข้อมูลของบรรดานักวิเคราะห์ต่างชาติ
รวมถึงสัญญาณจาก 1-month Risk-Reversals ในตลาด Options สำหรับทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ ขึ้นกับผลการประชุม FOMC ของเฟด ว่าจะมีมติอย่างไร และแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot มีการปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง อนึ่ง หากเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่า ก็อาจยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้าน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด
ทั้งนี้ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควรในช่วงที่เหลือของปีนี้ และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following มองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.20-32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์
ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ หากเฟดตัดสินใจ “คงดอกเบี้ยนโยบาย” และ Dot Plot ก็สะท้อนการลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดและเรา กดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลง 20 สตางค์ต่อดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย (ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ) หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ของเฟด
ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงเผชิญ Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวสองทิศทาง) บนความผันผวนที่อาจสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ เฟดดำเนินนโยบายการเงินสวนทางกับคาดการณ์ของตลาด เช่น คงดอกเบี้ยและDot Plot สะท้อนการลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมอง กรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.75-32.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.80-32.00 บาทต่อดอลลาร์



















