ทบ. ยืนยันข้อเท็จจริงตามหลักกติกาสากล กัมพูชาตั้งใจใช้พื้นที่โบราณสถาน เพื่อใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร เป็นฐานที่มั่นใช้โจมตีไทย เป็นผู้จงใจทำให้โบราณสถานสูญเสียความคุ้มครอง ไทยตอบโต้ตามความจำเป็น
เมื่อเวลา 23.50 น.วันที่ 10 ธ.ค.เพจเฟซบุ๊ก ทีมโฆษกกองทัพบก Army Spoke Team ได้โพสต์ข้อความระบุว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2568 กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทย โดยกล่าวหาว่า การโจมตีในพื้นที่ปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของกัมพูชา ถือเป็น “การกระทำที่ผิดศีลธรรม ดูหมิ่น และไม่เคารพต่อวัฒนธรรม อารยธรรม และมรดกทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ” พร้อมระบุว่าการโจมตีดังกล่าวเป็นการทำลายผลงานที่บรรพบุรุษได้ร่วมกันสร้างสืบทอดมา พร้อมเรียกร้องให้องค์การยูเนสโก ประชาคมอาเซียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประณามฝ่ายไทย
นอกจากนี้ยังอ้างว่า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2568 การโจมตีของฝ่ายไทยได้สร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหาร รวมถึงอาคารอนุรักษ์ และสิ่งปลูกสร้างสำคัญอื่นๆ โดยระบุว่า “ขัดต่อหลักศีลธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ”
ต่อประเด็นดังกล่าว พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงว่า ประเทศไทยยึดมั่นใน อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ว่ากรณีความขัดแย้งทางอาวุธ ซึ่งกำหนดให้โบราณสถาน ต้องได้รับการคุ้มครอง และห้ามการโจมตีหรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย
แต่อย่างไรก็ดี อนุสัญญาฯ มีข้อยกเว้นที่ระบุไว้ชัดเจนหากมีการนำโบราณสถานไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น การตั้งฐานที่มั่น การควบคุมการปฏิบัติการ การเป็นจุดซุ่มยิง หรือใช้เป็นพื้นที่เตรียมการโจมตี พื้นที่ดังกล่าวอาจ สูญเสียความคุ้มครองในทางกฎหมายเป็นการชั่วคราว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร
ดังนั้น เมื่อฝ่ายกัมพูชาตั้งใจใช้อาณาบริเวณโบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงใช้เป็นที่ตั้งระบบตรวจการณ์ และที่ตั้งระบบอาวุธยิงเพื่อใช้โจมตีต่อฝ่ายไทย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าข่าย เป็นพื้นที่ที่ “สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว” ตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954
ซึ่งกรณีพื้นที่ปราสาทตาควาย และ พื้นที่ปราสาทพระวิหาร ถูกฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ เพื่อการปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นที่ตั้งระบบอาวุธยิง เป็นคลังเก็บกระสุนวัตถุระเบิด และทุ่นระเบิด สำหรับใช้โจมตีทำร้ายฝ่ายไทย ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพปรากฏให้เห็นอยู่ตามสื่อโซเชี่ยลได้ทั่วไป จึงควรเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมนุษยธรรม และทำผิดกติกาสากลเอง รวมถึงเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรม
ฝ่ายไทยจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะ ปกป้องภัยคุกคามเหล่านั้นได้ตามความเหมาะสมและได้สัดส่วน ตามหลักกติกาสากล เป็นไปตามความจำเป็นเนื่องจากจากฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ



















