เมื่อเวลา 13.50 น.วันที่ 12 ธ.ค.ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานกล่าวเปิดงานการประชุมนานาชาติในหัวข้อ “จากวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ: 15 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพ และอนาคตของกระบวนการยุติธรรมที่สนองตอบต่อเพศภาวะ”
โดยนายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนคิดว่าไม่อยากจะมาจัดงานวันศุกร์ในช่วงบ่าย แต่อย่างไรก็ดีในนามของรัฐบาลไทยตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานดังกล่าว เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี ของข้อกำหนดกรุงเทพฯ ถือเป็นหมุดหมายอันสำคัญของข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฎิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและมาตรการที่ไม่ใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดผู้หญิง ภายใต้พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภานเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา ประเทศไทยเองได้นำเสนอแนวคิดว่าโลกต้องการกรอบการดำเนินงานเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องต่อความเปราะบางของผู้หญิงในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากนานาชาติ ซึ่งแนวคิดนี้จึงเป็นรูปธรรมเมื่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อปี 2553 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทำให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่คำนึงถึงเพศสภาพ เป็นวาระสำคัญระดับโลก ในการสร้างมาตรฐานสากลครั้งแรกในการคุ้มครองผู้หญิงที่ถูกคุมขังในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และถือเป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำกฏหมายและแนวปฏิบัติทั่วโลกข้อกำหนดกรุงเทพฯ เองยังสะท้อนวาระแห่งชาติของไทยที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างหลักนิติธรรมและรับรองกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีความเป็น และมีได้สัดส่วน รวมถึงมีประสิทธิภาพ หลักการเหล่านี้สำคัญไม่เพียงต่อความยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นผลต่อความเข้มแข็งของชาติ ความสงบสุข และการพัฒนาอย่างครอบคลุมทั่วถึง
นายกฯ กล่าวต่อว่า แต่อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าเรามีพัฒนาการต่างๆเหล่านี้ แต่เรายังคงเผชิญความท้าทายผู้ต้องขังหญิงยังคงเป็นสัดส่วนที่เติบโตเร็วที่สุดในประชากรเรือนจำโลก หลายคนถูกคุมขังด้วยคดีที่ปราศจากความรุนแรงหรือเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความยากจน แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากต่อตัวบุคคล และแสดงให้เห็นว่าระบบนี้ยังมีช่องโหว่ในการที่จะป้องกันหรือคุ้มครองสนับสนุนผู้หญิง เพราะผู้หญิงคนหนึ่งเข้าสู่เรือนจำ ครอบครัวเกิดความแตกแยก บุตรตกอยู่ในความเสี่ยง
สูญเสียการจุนเจือทางเศรษฐกิจ และสูญเสียทุนมนุษย์ที่มีผลต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้นเราต้องขยายใช้มาตรการที่ไม่ใช่แค่การคุมขังสำหรับการกระทำที่ไม่รุนแรง แต่ความจริงแล้วจะต้องมีทางเลือกที่ยกระดับแก้ไขฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาเชิงลึกที่เป็นปัญหารากฐานอย่างแท้จริงของผู้หญิงนี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยทำงานร่วมกับสหประชาชาติ (UNODC) เพื่อร่วมกันจัดตั้ง “โครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามข้อกำหนดกรุงเทพ” (Bangkok Rules Accelerator) ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ให้ดำเนินการอย่างบูรณาการและชัดเจนอีก 5 ปีต่อไป
นายกฯ กล่าวอีกว่า ซึ่งโครงการนี้ประเทศไทยเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนจะดำเนินการไม่ได้ถ้าหากว่าเราจะทำอยู่ประเทศเดียว เพราะฉะนั้นจุดแข็งจริงๆของข้อกำหนดกรุงเทพฯอยู่บนรากฐานของความร่วมมือระหว่างประเทศเมื่อเราก้าวเข้าสู่บทใหม่ของข้อกำหนดนี้ เราอยากขอเรียนเชิญคณะทูต เครือข่ายองค์กรความร่วมมือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศต่างๆและประเทศต่างๆมาร่วมงานกับเรา ไม่ใช่แค่เชิงหลักการ แต่ได้ทำงานร่วมกันนำความเชี่ยวชาญมาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อกำหนดกรุงเทพฯ จะได้นำไปใช้จริงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จริงต่อชีวิตของสตรีที่ถูกคุมขังทั่วโลกตอนนี้เราครบรอบ 15 ปีแห่งข้อกำหนดกรุงเทพฯ ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือเป็นวิธีที่สังคมปฏิบัติต่อสตรีผู้หญิงในระบบยุติธรรม และความจริงแล้วมันสะท้อนเรื่องของความเข้มแข็งของหลักนิติธรรมความลึกซึ้งของความเห็นอกเห็นใจในสังคมที่มีความมั่นคงต่อการพัฒนาการคุมขังผู้หญิงที่เพิ่มขึ้นมันเตือนใจพวกเราว่าการ การกำหนดโทษที่ไม่สมสัดส่วนนี้หรือทางเลือกในชีวิตที่จำกัดช่องว่างในการคุ้มครองทางสังคมจะต้องได้รับการแก้ไขหมุดหมายนี้สำคัญ ทั้งนี้ ขอแสดงความชื่นชมต่อ UNODC สำหรับบทบาทของการเป็นผู้นำและหุ้นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมที่คำนึงถึงมิติของความเป็นหญิง ยืนยันว่าประเทศไทยพร้อมเดินหน้าร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ของข้อกำหนดกรุงเทพให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป.



















