หน้าแรกHighlightซูเปอร์โพลชี้‘อนุทิน’เต็งหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล เผยหลังยุบสภา‘ปากท้อง’นำ‘ความมั่นคง’

ซูเปอร์โพลชี้‘อนุทิน’เต็งหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล เผยหลังยุบสภา‘ปากท้อง’นำ‘ความมั่นคง’

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ผลสำรวจซูเปอร์โพลสะท้อนการเมืองไทยหลังยุบสภา ประชาชนเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ตั้งใจใช้สิทธิเลือกตั้งสูง ขณะที่พรรคใหญ่ยังนำแต่ฐานเสียงลังเลเกินครึ่ง

เมือวันที่ 14 ธ.ค. 68 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลการศึกษาเรื่อง “สำรวจพรรคใหญ่กับพรรคใหม่” จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,435 ตัวอย่าง ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 12–13 ธันวาคม 2568 ภายหลังการประกาศยุบสภาของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริบททางการเมืองไทย

ผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนทั้ง “ความต้องการเร่งด่วนของประชาชน” “ความตั้งใจจะไปเลือกตั้ง” “ความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่” และ “การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองเปิดใหม่ในฐานะม้ามืดเชิงนโยบาย” อย่างชัดเจน โดยมี 5 ประเด็นหลัก ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ความต้องการเร่งด่วนของประชาชน: ปัญหาปากท้องนำความมั่นคง

รายงานซูเปอร์โพลระบุว่า ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ การค้าขาย ธุรกิจ และการทำมาหากิน คิดเป็นร้อยละ 81.9 สะท้อนว่าเศรษฐกิจฐานรากยังคงเป็น “โจทย์หลัก” ของสังคมไทยหลังการยุบสภา

รองลงมาคือ การยุติความขัดแย้งและการสู้รบชายแดนโดยเร็ว ร้อยละ 80.5 สะท้อนความกังวลด้านความมั่นคงและผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ขณะเดียวกัน ประชาชนยังให้ความสำคัญกับการปราบปรามสแกมเมอร์และมิจฉาชีพ ร้อยละ 66.7 ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 65.3 และความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 62.4 ตามลำดับ

ผลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าประชาชนมองปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก

ข้อ 2 ความตั้งใจไปเลือกตั้ง: การเมืองยังไม่ถูกทอดทิ้ง

เมื่อพิจารณาความตั้งใจจะไปเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 74.3 ระบุว่าตั้งใจจะไปเลือกตั้ง ขณะที่ร้อยละ 5.8 ระบุว่าไม่ไป และร้อยละ 19.9 ยังไม่แน่ใจ

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า แม้การเมืองไทยจะเผชิญความผันผวน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมอง “การเลือกตั้ง” เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดทิศทางประเทศ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ยังไม่แน่ใจซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของผู้ตอบทั้งหมด ถือเป็น “กลุ่มชี้ขาด” ที่พรรคการเมืองทุกพรรคต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

ข้อ 3 พรรคการเมืองขนาดใหญ่: คะแนนยังนำ แต่ความลังเลยังสูง

ผลการสำรวจพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ประชาชนตั้งใจจะเลือก พบว่า พรรคภูมิใจไทยได้รับการระบุสูงสุด ร้อยละ 14.4 รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 12.0 และพรรคประชาชน ร้อยละ 9.9 ขณะที่พรรคอื่น ๆ รวมกันร้อยละ 11.5

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจคือ กลุ่มประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจ ไม่ชอบพรรคใด หรือไม่ระบุ มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 52.2 มากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด สะท้อนว่า แม้พรรคใหญ่ยังคงนำในเชิงความนิยม แต่ “ฐานเสียงที่ยังลังเล” ยังคงเปิดกว้าง และการแข่งขันทางนโยบายยังไม่ปิดเกม

ข้อ 4 ผู้นำพรรคใหญ่กับการจัดตั้งรัฐบาล: อนุทินเต็งหนึ่ง

เมื่อพิจารณาความเห็นของประชาชนต่อหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พบว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับการคาดหมายสูงสุด ร้อยละ 30.1

รองลงมาคือ นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 17.8 และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ร้อยละ 14.4 ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ หรือไม่ตอบ มีสัดส่วนร้อยละ 37.7

ผลดังกล่าวสะท้อนภาพ “เต็งหนึ่งหลังยุบสภา” ของนายอนุทินอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน ตัวเลขกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจซึ่งมีสัดส่วนสูง แสดงให้เห็นว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยยังรอดูทิศทางการเมืองและการนำเสนอนโยบายในช่วงหาเสียง

ข้อ 5 พรรคการเมืองเปิดใหม่: พรรคปวงชนไทย ม้ามืดเชิงนโยบายเริ่มปรากฏ

ในส่วนของพรรคการเมืองเปิดใหม่ ผลการสำรวจสโลแกนนโยบายที่ประชาชนชื่นชอบ พบว่า สโลแกน “สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ” ของพรรคปวงชนไทย ซึ่งมี นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เป็นหัวหน้าพรรค ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มพรรคเปิดใหม่ โดยการตอบครั้งที่ 1 อยู่ที่ร้อยละ 48.5 และเพิ่มเป็นร้อยละ 51.7 ในการตอบครั้งที่ 2

รองลงมาคือ สโลแกน “ต้องทำเมกะโปรเจกต์ นิคมการเกษตร พลิกเศรษฐกิจ” ของพรรคเศรษฐกิจ ที่มี พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ เป็นหัวหน้าพรรค ได้ร้อยละ 47.3 และ 48.2 ตามลำดับ และสโลแกน “ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง” ของพรรคไทยก้าวใหม่ นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ได้ร้อยละ 39.6 และ 37.8

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า พรรคปวงชนไทยได้ก้าวขึ้นมาในฐานะ “ม้ามืดทางการเมืองเชิงนโยบาย” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้องและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับความต้องการเร่งด่วนอันดับหนึ่งของประชาชน ตามมาด้วยพรรคเศรษฐกิจ

สรุปภาพรวมและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

รายงานของซูเปอร์โพลสรุปว่า ผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนภาพการเมืองไทยหลังการยุบสภาในลักษณะ “สองจังหวะ” ได้แก่
(1) พรรคการเมืองขนาดใหญ่ โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยและผู้นำอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังคงครองความเชื่อมั่นในฐานะตัวเลือกพรรคใหญ่ที่มั่นคง และ
(2) พรรคการเมืองเปิดใหม่ โดยเฉพาะพรรคปวงชนไทย และพรรคเศรษฐกิจ เริ่มสร้างการรับรู้และการจดจำในฐานะตัวเลือกเชิงนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชาชน

สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเห็นว่า พรรคการเมืองทุกพรรคควรให้ความสำคัญกับ

  1. การสื่อสารนโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้ สอดคล้องกับชีวิตจริง และสามารถทำได้จริง
  2. การเชื่อมโยงปัญหาปากท้องเข้ากับความมั่นคงในชีวิตและสังคม
  3. การสร้างความเชื่อมั่นต่อกลุ่มประชาชนที่ยังลังเล ซึ่งเป็นพลังเงียบที่มีบทบาทชี้ขาดผลการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ ผลการสำรวจสะท้อนอย่างชัดเจนว่า “เกมการเมืองยังไม่ปิด” และการเลือกตั้งครั้งถัดไปจะไม่ตัดสินกันที่ขนาดพรรคเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครสามารถตอบโจทย์ประชาชนได้ตรงที่สุด ในเวลาที่ประชาชนต้องการมากที่สุด

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img