หน้าแรกHighlightเงินบาททรงตัวที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ตลาดคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 69

เงินบาททรงตัวที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ตลาดคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 69

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว” ตลาดคาดเฟดหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 69 สหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตร ไม่ให้เข้าออกขนส่งน้ำมันไปยังเวเนซุเอลา

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว” จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน (แกว่งตัวในกรอบ 31.43-31.53 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการทยอยปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด (ตลาดให้โอกาสราว 44% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปี 2026)

โดยภาพดังกล่าวก็มีส่วนหนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้าอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็พอได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังคงเป็นไปอย่างจำกัด ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดบางส่วน นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังถูกชะลอจากโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนทำจุดต่ำสุดใหม่ของปีนี้ ก่อนที่ล่าสุดราคาน้ำมันดิบจะรีบาวด์สูงขึ้น จากประเด็นทางการสหรัฐฯ ออกคำสั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตร ไม่ให้สามารถเข้าออกขนส่งน้ำมันไปยังเวเนซุเอลาได้

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ท่ามกลางแรงขายบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Broadcom -4.5%, Nvidia -3.8% ขณะที่บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ และพอช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ บ้าง ส่งผลโดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.16% แต่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -1.81%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways และย่อตัวลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงหนักของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor เช่นเดียวกันกับฝั่งสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มเหมืองแร่ ทำให้โดยรวมตลาดหุ้นยุโรปไม่ได้ปรับตัวลงหนัก เหมือนในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงต่อ สู่ระดับ 4.14% หลังผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด นอกจากนี้ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ยังคงกดดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อยู่ สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ได้ประเมินไว้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ แต่หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเพิ่มเติม จนต่ำกว่าระดับ 4.00% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่ควรไล่ราคาซื้อเพิ่มเติม เพื่อรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง หรือมี Risk-Reward ที่เหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่าเฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้มากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็พอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์บ้าง (แต่ไม่มากนัก เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ Underperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ชัดเจน) ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.2-98.7 จุด)

ส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ยังคงหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยตามแรงขายทำกำไรและจังหวะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ แต่ยังสามารถแกว่งตัวเหนือโซน 4,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลักฝั่งยุโรป โดยเราประเมินว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 3.75% ตามการชะลอตัวต่อเนื่องของทั้งตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษ ทว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเลือกที่จะคงดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ตามเดิม แต่อาจยังคงเปิดกว้างต่อการปรับดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ตามพัฒนาการของเศรษฐกิจ

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนพฤศจิกายน ที่อาจสะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวลงเพิ่มเติมของราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ได้ (หากอ้างอิง ข้อมูลการวิเคราะห์ราคาสินค้าและบริการของทาง Bloomberg Economics) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตา รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ ทั้ง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และดัชนีภาวะธุรกิจของบรรดาเฟดสาขาต่างๆ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ทางฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม นี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นการรับรู้ข้อมูล การรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในช่วงสายของวันเดียวกันและนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังร้อนแรงอยู่

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมั่นใจว่า เงินบาท (USDTHB) ยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะแข็งค่ามากกว่าระดับ สิ้นปีแถว 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 ได้ (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) โดยจากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์)

อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้เริ่มชะลอตัวลงบ้าง ท่ามกลางการส่งสัญญาณพร้อมเข้ามาดูแลค่าเงินบาทจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากการที่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันก่อนหน้า ทาง กนง. มีการเน้นย้ำถึงความกังวลต่อแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทมากขึ้น จากการประชุมครั้งก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด และยังมีการระบุถึงแนวทางการดำเนินมาตรการเพิ่มเติม เพื่อดูแลค่าเงินบาท (ส่วนใหญ่จะเน้นการควบคุมความผันผวนของค่าเงิน มากกว่าที่จะกำหนดทิศทางค่าเงิน เช่น จัดการให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงชัดเจน ซึ่งเราเชื่อว่าจะไม่ใช่แนวทางการดูแลค่าเงินของทางธนาคารแห่งประเทศไทย)

ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจเลือกทยอยขายทำกำไรสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้น) โดยภาพดังกล่าวก็เริ่มสอดคล้องกับการที่เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนในช่วงนี้

โดยความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.40-31.60 บาทต่อดอลลาร์

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img