“พันธ์ทอง” เผยสินค้าซื้อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องเสียภาษีอากรสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก เริ่มบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 คาดจัดเก็บรายได้เพิ่ม 3,000 ล้านบาท สินค้าแฟชั่นเสียอากรสูงสุด 30%
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป จะมีการยกเลิกการยกเว้นอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท (De Minimis Value) โดยจะเริ่มเก็บอากรตั้งแต่บาทแรก ซึ่งจะช่วยให้การกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะเป็นสินค้ากลุ่มแฟชั่นจะมีอัตราอากรขาเข้าอยู่ที่ประมาณ 30% สำหรับเสื้อผ้าและรองเท้า ส่วนกระเป๋าจะอยู่ที่ 20% และสินค้าประเภทอื่นๆ จะเสียตามพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้านั้นๆ ตามวัสดุสินค้า เช่น 10-20%
โดยในปี 67 ที่ผ่านมาสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มีมูลค่ารวมสูงถึง 30,000 ล้านบาท จากพัสดุมากกว่า 160 ล้านกล่อง และคาดการณ์ว่าปริมาณพัสดุจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 250 ล้านกล่อง ในปี 69 อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนครั้งนี้สอดคล้องกับแนวโน้มสากล โดยสหภาพยุโรปก็มีกำหนดจะเริ่มใช้มาตรการจัดเก็บภาษีในลักษณะเดียวกันในปีหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐทั่วโลกในการสร้างความเป็นธรรมทางการค้าในยุคดิจิทัล
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเมื่อซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มส่วนใหญ่จะมีการคำนวณราคารวมภาษีอากรและค่าขนส่งไว้แล้วเพื่อให้สินค้าส่งตรงถึงบ้านผู้ซื้อ ยกเว้นกรณีส่งผ่านไปรษณีย์ไทยที่อาจต้องมีการชำระอากรกับเจ้าหน้าที่ขณะนำส่ง หรือใบเขียว ซึ่งคิดเป็นเพียงส่วนน้อยประมาณ 1,300 กล่องต่อวัน”
โดยมาตรการนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี และนอกจากเรื่องรายได้ ความร่วมมือนี้ยังเน้นการปกป้องสังคม (Social Protection) โดยแพลตฟอร์มจะช่วยสกรีนสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) หรือ ใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หากไม่มีใบอนุญาตจะไม่สามารถวางจำหน่ายได้ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสินค้าผิดกฎหมาย เช่น บุหรี่ไฟฟ้า หรือสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ให้ลดน้อยลงและหายไปจากระบบ
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Trade) แพลตฟอร์มจะเชื่อมโยงข้อมูลรายการ ปริมาณ และมูลค่าสินค้า ให้กรมศุลกากรตรวจสอบ เพื่อปิดช่องโหว่การแจ้งเท็จ ทำให้การแข่งขันทางการค้าระหว่างสินค้าต่างประเทศและผู้ประกอบการในไทยมีความเท่าเทียมกัน
“ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการใช้กฎหมายบังคับ แต่เป็นความสมัครใจของภาคเอกชนทั้ง 5 แพลตฟอร์ม คือบริษัท ลาซาด้า จำกัด (Lazada) บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด (Shopee) บริษัท ติ๊กต๊อก ช็อป (ประเทศไทย) จำกัด (TikTok Shop) บริษัท แฟชั่น ชอยส์ จำกัด (SHEIN) และ บริษัท เวล โค เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (TEMU)ที่ต้องการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ที่โปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งจะช่วยคัดกรองสินค้าผิดกฎหมายไม่ให้เข้ามาวางจำหน่าย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในระยะยาว”



















