คลัง- ธปท.- กลต. งัด 3 มาตรการสกัดค่าเงินบาทแข็งค่า สั่งรายงานข้อมูล จ่อเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ คุมเพดานซื้อขายทอง ธปท.ออก 1 มาตรการคุมฟันด์โฟลว์ ส่วนคริปโตไม่ใช่สาเหต
รายงานข่าวแจ้งว่า นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร่วมกันแถลงแนวทางการบริหารจัดการสถานการณ์ค่าเงินบาท หลังจากค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ล่าสุดไปอยู่ที่ 31.10-31.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าสุดรอบ 4 ปีครึ่ง
นายลวรณ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 68 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 9.4% เทียบเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และแข็งค่าขึ้น 4.2% ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลังนักลงทุนปรับคาดการณ์แนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีการขายเงินตราต่างประเทศ ของกลุ่มบริษัททองคำหลังราคาทองคำปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตลอดจนการเข้าซื้อตราสารหนี้ ของนักลงทุนต่างชาติในบางจังหวะ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า
ทั้งนี้ ได้ร่วมกันออก 3 มาตรการดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาท ได้แก่ 1.ให้กรมสรรพากร พิจารณากำหนดให้ผู้ให้บริการซื้อขายทองคำในลักษณะการลงทุนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ นำส่งข้อมูลธุรกรรมการซื้อขายทองคำให้แก่กรมสรรพากรเช่นเดียวกับแพลตฟอร์มสินค้าหรือบริการออนไลน์อื่น เพื่อให้รู้มูลค่าการซื้อขายของธุรกรรมทองคำ 2. เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว กรมสรรพากรจะพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากกิจการขายทองคำแท่งของร้านทองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งยังไม่ระบุว่าจะเก็บภาษีที่อัตราเท่าไร
3.แก้กฎหมายกระทรวงการคลังให้อำนาจ ธปท.พิจารณาแนวทางการกำกับปริมาณการทำธุรกรรมทองคำ เช่น การกำหนดเพดานวงเงินการซื้อขายทองคำในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีมีการซื้อขายปริมาณสูง เช่น ซื้อขายไปมา 100 ล้านบาทหลายครั้ง หรือ 1,000 ล้านบาทต่อวัน แต่ในส่วนของการซื้อขายรายย่อยจะไม่กระทบ โดยเฉพาะผู้ซื้อขายทองที่ส่งมอบจริง ผู้ประกอบธุรกิจเครื่องประดับ ร้านค้าที่มีการซื้อขายทองจริง โดยมาตรการนี้น่าจะเริ่มบังคับใช้เดือนม.ค.69
นายวิทัย กล่าวว่า ธปท.ได้ออกอีก 1 มาตรการเสริม เพื่อดูแลการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าประเทศที่มีปริมาณสูง โดยกำหนดให้ต้องแจ้งปริมาณที่มาของเงิน วัตถุประสงค์ของการนำเงินไปใช้ จากเดิมที่เปิดให้นำเข้าอิสระเสรี โดยจากมาตรการนี้ และ3 มาตรการที่คลังและสรรพากรออกมา จะช่วยชะลอธุรกรรมการซื้อขายทองบนแพลตฟอร์มที่เป็นต้นเหตุ ให้ค่าบาทบาทแข็งขึ้นค่าได้ และในระยะยาวได้เสนอคลัง จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมากำกับดูแลการซื้อขายทองโดยตรง เพราะทุกวันนี้มีปริมาณซื้อขายมาก
“ปัจจุบัน ปริมาณการซื้อขายทองคำในแต่ละวันมีมูลค่ารวมสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สูงกว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไปแล้ว โดยปี 68 มีค่าเฉลี่ยซื้อขายทองต่อวัน 65,937 ล้านบาท สูงกว่าซื้อขายหุ้น 42,417 ล้านบาท และทำสถิติซื้อขายสูงสุดถึง 255,566 ล้านบาท ขณะที่รายได้ของผู้ค้าทองคำ 15 รายใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 17% ของจีดีพี ในปี 63 คาดว่าจะเพิ่มเกิน 50% ของจีดีพี ในปี 68”
“ที่สำคัญกลุ่มบริษัททองคำเข้าซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังมีสัดส่วนสูงขึ้น จนบางครั้งเกิดการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สุทธิจากธุรกรรมทองเพื่อมาซื้อเงินบาทมากถึง 40-50% ของปริมาณการขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกดดันโดยตรงต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นเร็ว นำสกุลภูมิภาค และผันผวนไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ”
นางพรอนงค์ กล่าวว่า ประเด็นที่มีข้อสังเกตว่า การซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ยูเอสดีที ที่มีมูลค่าผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจนส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทแข็งค่า ก.ล.ต.ชี้แจงว่า เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากปริมาณธุรกรรมซื้อขายยูเอสดีทีที่ 1.22% ของยอดเงินทุนที่เข้ามาแลกเปลี่ยน ซึ่งมีจำนวน 29.1 ล้านล้านบาท และคิดเป็น 0.17% ของยอดการแลกดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินบาทของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จึงไม่มีนัยยะต่อค่าเงิน



















