ที่ประชุมสภาฯ ยืนยันเสียงข้างมาก 375 เสียงยืนร่างพ.ร.บ.ประชามติ เดิมชั้นเดียว
วันที่ 16 ก.ค.2568 เวลา 12.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม เข้าสู่วาระการพิจารณาญัตติ ขอให้ยกร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ(ฉบับที่…)พ.ศ. ซึ่งถูกยับยังไว้ตามมาตรา 137 (3) ของรัฐธรรมนูญ ขึ้นพิจารณาใหม่ จำนวน 2 ฉบับ ของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และนายจาตุรนณ์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ
โดย นายพริษฐ์ กล่าวว่า ร่างฉบับนี้เป็นเรื่องที่สภาผู้แทนราษฎรเคยได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วในวาระที่สามแต่ยับยั้งไว้ 180 วันเนื่องมาจากความเห็นที่แตกต่างกัน ระหว่างเสียงข้างมากของสส.ที่เห็นด้วยกับการปรับกติกามติมาใช้เกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้นกับเสียงข้างมากของสว. ที่เห็นควรให้คงกติกาประชามติไว้เป็นเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้น ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับการใช้เสียงข้างมากหนึ่งชั้น เพราะวันนี้นับเป็นครั้งที่ 6 จาก 1 ปีที่ผ่านมาที่ร่างกายถูกดึงกันไปดึงกันมาระหว่างสองสภา เหตุผลที่ตนและพรรคประชาชนสนับสนุนให้เปลี่ยนจากกติกาเสียงข้างมากสองชั้น มาเป็นกติกาเสียงข้างมากชั้นเดียวนั้น ไม่ใช่เพื่อให้ประชามติในเรื่องต่างๆผ่านง่ายขึ้น แต่เป็นเพราะเราต้องการให้มีการทำประชามติในทุกๆเรื่อง มีความเป็นธรรมมากขึ้นระหว่างฝ่ายที่อยากจะเห็นประชามติผ่านกับฝ่ายที่อาจจะไม่อยากเห็นประชามติผ่านโทรหาเราเปลี่ยนมาใช้กติกาข้างมากหนึ่งชั้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเป็นการปิดช่องไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์จากการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนไม่ออกมาใช้สิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงประชามติ แต่จะเป็นกติกาที่ทำให้ทุกฝ่ายมีแรงจูงใจที่ตรงไปตรงมา ในการพยายามรณรงค์ทางความคิดของตนเองและเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ์และลงคะแนนเสียงให้ได้เยอะที่สุด ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สส.ทั้ง 409 คน ที่เคยลงมติเห็นชอบกับร่างดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 21 ส.ค.67 จะยังคงยืนยันจุดยืนเดิมของตนเอง และร่างพ.ร.บ.ประชามติฉบับนี้ ก็จะผ่านความเห็นชอบของสภาฯไปได้และถูกบังคับใช้
“ไม่ว่าเราจะแก้ปัญหาด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เราก็ต้องทำประชามติตามพ.ร.บ.ประชามติใหม่ ไม่ว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจะต้องทำประชามติสองครั้งหรือสามครั้งเราก็ต้องทำประชามติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับใหม่ ดังนั้นเราทุกคนในที่นี้และรัฐบาลต้องคิดต่อ ตกผลิกและเดินหน้าต่อให้เร็ว คือรัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างไรจะทำประชามติเมื่อไหร่ ด้วยคำถามอะไร ซึ่งเป็นโจทย์ที่รัฐบาลไม่ควรใช้เวลานานในการคิด เพราะเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้อาจจะอยู่ต่อได้อีกไม่นาน และเราจะมีการเลือกตั้งใหม่ในเร็วๆนี้ ผมคิดว่าเราควรใช้โอกาสนี้ในการทำให้มีการจัดทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งถัดไป ซึ่งจะเป็นแนวทางที่สร้างความสะดวกให้กับประชาชนในการออกไปใช้สิทธิ์ รวมถึงประหยัดงบประมาณแผ่นดินและเป็นแนวทางที่ประชามติฉบับใหม่จะช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติงาน สามารถจัดทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งได้อย่างสะดวกขึ้น”นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากสมมุติในเร็วๆนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง อย่างไรขั้นตอนแรกก็ต้องเริ่มจัดทำประชามติ หากศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าทำประชามติ 2 ครั้งพอ เราก็ต้องมาคิดถึงแม้กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำประชามติก่อนที่รัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง ส.ส.ร.แต่หากมีใครกังวลว่าสว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะไม่ยกมือสนับสนุน ก็น่าคิดว่าหากประชามติถามพี่น้องประชาชนทั่วประเทศแล้วได้คำตอบกลับมาว่าอยากเห็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร. ก็อยากจะลองดูว่าสว.จะกล้าโหวตสวนประชาชนหรือไม่ หากวันนี้ร่างพ.ร.บ.ประชามติผ่านความเห็นชอบของสภาฯไปได้ ไม่ใช่วันที่เราจะมาเฉลิมฉลอง แต่เป็นวันที่เราต้องมีคำตอบประชาชนว่าเราจะแก้ปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญกันอย่างไร ยืนยันว่าคำตอบและข้อเสนอของพรรคประชาชนมีพร้อม ท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่หวังว่าหากสภาฯลงมติเห็นชอบ นายกฯและรัฐบาลจะมีคำตอบให้กับสังคมโดยเร็วว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างคามาหลายปีอย่างไร
ด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เนื่องจากมีการยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาเกี่ยวกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่าจะต้องมีการทำประชามติจำนวนกี่ครั้ง เมื่อใดบ้าง ซึ่งก็มีข่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญคงจะใช้เวลาอีกไม่นานจะมีข้อยุติออกมา และหากมีข้อยุติว่าจะต้องทำประะชามติ 3 ครั้ง หมายความว่า จะต้องทำก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเรายังไม่มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับใหม่ทันเวลา ก็จะต้องทำประชามติตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งทราบกันดีว่า กฎหมายที่มีอยู่นั้น จะเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมีกติการะบบเสียงข้างมากสองชั้น
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หากใช้หลักการนี้กับการทำประชามติเรื่องอื่นๆ การจะแก้ไขอะไรก็จะยากไปด้วย ทำให้ไม่สามารถใช้กลไกประชามติเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาบ้านเมืองตามความต้องการของประชาชนได้ ภายหลังการยับยั้งร่างพ.ร.บ.ประชามติ จนพ้นเวลา 180 วันแล้ว จนถึงวันนี้ที่สภาฯต้องยืนยันร่างที่สภาฯได้เห็นชอบไป ดังนั้นขอให้ลงมติยืนยันตามที่สภาฯเคยให้ความเห็นชอบไปแล้ว เพื่อปลดล็อกกติกาการออกเสียงประชามติให้เป็นเสียงข้างมากชั้นเดียว เพื่อจะได้เดินหน้า สู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
จากนั้นเปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็น โดยส่วนใหญ่เห็นไปในทิศทางเดียวกันคือใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว มีเพียง น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า พรรคภูมิใจไทยจึงไม่สามารถพูดว่า เราเห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ได้เต็มปาก เราไม่ได้กังวลแค่การออกเสียงเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างเดียว แต่เราต้องการให้ผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งหรือผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนนั้น ได้มีชั้นกรองในการออกเสียง หากในอนาคต ต้องมีการออกเสียงประชามติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ถ้าใช้เสียงเพียงชั้นเดียว จะมั่นใจได้อย่างไรว่า จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเกินจำนวน ควรจะเป็นเสียงข้างมาก แต่ควรจะเป็นการออกเสียงครั้งแรกอย่างน้อยมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินครึ่งหนึ่ง แล้วการทำประชามติจะเป็นคำถามในลักษณะไหนก็ตาม ควรใช้เสียงข้างมากจากผู้ที่มาใช้สิทธิ์เกินครึ่งหนึ่ง แบบนี้จะปลอดภัยกว่าหรือไม่ ดังนั้นการที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ ถูกนำกลับมาให้สภายืนยัน พรรคภูมิใจไทยต้องบอกว่า ไม่ถึงขั้นที่เราจะไม่เห็นด้วย เพราะเราอยู่ตรงกลางความก้ำกึ่งของฉบับนี้ เราอยากให้ พ.ร.บ.ประชามติผ่าน แต่อยากให้ผ่านด้วยความรอบคอบ ผ่านด้วยเนื้อหาที่กลั่นกรองและนับจำนวนคนผู้มาออกเสียงผู้มาใช้สิทธิ์ อย่างที่สามารถประกาศออกไปอย่างชัดเจนว่านี้คือเสียงส่วนใหญ่ของผู้ที่มาลงคะแนนเกินครึ่งหนึ่ง ในการลงประชามติในเรื่องนั้นๆ”น.ส.แนน บุณย์ธิดา กล่าว
จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติเห็นด้วย 375 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออก 80 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ว่าที่ประชุมได้ยืนยันเกินกว่ากึ่งหนึ่ง คือ เกินกว่า248 เสียง จึงถือว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้รับการยืนยันจากที่ประชุม จากนี้สภาฯจะดำเนินการส่งไปให้รัฐบาลดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป.











