“สุนันทา” เผยเทรนด์การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ กำลังมาแรงในตลาดจีน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ชี้เป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยขยายตลาด
น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนางสาวบูชิตา อินทรทัศน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองชิงต่าว สาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแนวโน้มการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มน้ำตาลต่ำ ที่กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรงในตลาดจีน และโอกาสในการส่งออกสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของไทยเข้าไปจำหน่าย
ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์รายงานข้อมูลประกอบว่า เทรนด์อาหารอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หรือ Low GI (Low Glyce mic Index) กำลังร้อนแรงในวงการอาหารของจีน และกลายเป็นสนามแข่งขันใหม่ของแบรนด์อาหารสุขภาพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ซึ่งกระแสนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ชาและเครื่องดื่มต่าง ๆ เท่านั้น แต่กำลังขยายตัวไปทั่วทั้งวงการอาหาร ตั้งแต่อาหารหลัก ขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์นม ไปจนถึงอาหารทดแทนและอาหารฟังก์ชัน (Functio nal Food) ซึ่งต่างเร่งพัฒนาเมนูอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้นโดยเบื้องหลังความร้อนแรงของตลาดสุขภาพในจีน คือ ความกังวลเรื่องน้ำตาลในเลือดและความต้องการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งพบว่าระหว่างปี 2548–2566 จีนมีผู้ป่วยโรคเบาหวานอายุ 20 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นจาก 88.48 ล้านคนเป็น 233 ล้านคน หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นกว่า 163.36% พื้นที่ทีมีอัตราความหนาแน่นของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกของจีน โดยเฉพาะในปักกิ่ง เทียนจิน และเซี่ยงไฮ้ พบอัตราสูงกว่า 20%
ขณะที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนมีอัตราความหนาแน่นน้อยที่สุด หากสถานการณ์ปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการแก้ไข อัตราความหนาแน่นของผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วประเทศจีนคาดว่าจะสูงถึง 29.1% ภายในปี 2593 แต่หากมีการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ อัตราความหนาแน่นของผู้ป่วยโรคเบาหวานจะลดลงเกือบ 50% และคาดว่าจะสามารถควบคุมให้ต่ำกว่า 15% ได้ภายในปี 2593
นอกจากนี้ทูตพาณิชย์ได้ให้ข้อมูลอีกว่า จากเทรนด์นี้ ทำให้ภาคธุรกิจตอบรับอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัตถุดิบทดแทนจากข้าวและธัญพืช สู่การพัฒนาข้าวฟังก์ชัน และธัญพืช Low GI อาทิ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ถั่วลันเตา หรือถั่วชิกพี การเลือกใช้สารให้ความหวานธรรมชาติ อาทิ อิริทริทอล, D-Allulose, ไซลิทอล ที่ให้รสหวาน แต่ไม่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และยังมีการเพิ่มส่วนผสมเสริมการทำงานของร่างกาย อาทิ ใยอาหารจากอินูลินและรีซิสแทนต์เดกซ์ตริน ที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
รวมถึงสารสกัดจากใบหม่อนและถั่วขาวที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ย่อยน้ำตาล โดยความนิยมที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำขยายตัวอย่างรวดเร็วไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น อาหารหลัก ขนมขบเคี้ยว อาหารทดแทน และเครื่องดื่ม ปัจจุบันในจีนมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง Low GI แล้วกว่า 200 รายการ
ขณะเดียวกัน แบรนด์ชานมชื่อดัง Naisnow ได้เปิดตัวเครื่องดื่มรุ่นใหม่ “Daily Green Bottle” ซึ่งใช้สารให้ความหวาน D-Allulose ทำให้มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) เพียง 37 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคจีนและจุดกระแสอย่างกว้างขวางในวงการเครื่องดื่ม ขณะเดียวกัน CHAGEE แบรนด์ชาชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมในไทย ก็เป็นผู้บุกเบิกการใช้ฉลาก Low GI ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ถือเป็นผู้จุดประกายกระแสให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางการควบคุมน้ำตาลและการบริโภคอย่างมีสุขภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้กรมฯ เห็นว่า เมื่อแนวคิดรับประทานเพื่อสุขภาพ กลายเป็นวิถีชีวิตหลักของผู้บริโภคจีนยุคใหม่จึงคาดการณ์ว่าอาหาร Low GI จะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในตลาดจีน และการผสานรสชาติที่อร่อยกับคุณค่าทางสุขภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของแบรนด์อาหารในอนาคต โดยการที่ผู้บริโภคชาวจีนมีความตระหนักด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความกังวลเรื่องน้ำตาลในเลือดและความต้องการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทย
ซึ่งมีศักยภาพสูงในการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม GI ต่ำ เพราะมีวัตถุดิบพื้นถิ่นหลากหลายที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้อย่างดี อาทิ ข้าวน้ำตาลต่ำ น้ำมะพร้าวธรรมชาติ หญ้าหวาน ธัญพืช ลูกเดือย ถั่วเหลือง งาดำ เป็นต้น โดยสามารถเกาะกระแสสุขภาพที่ยังคงร้อนแรง และผลักดันสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีน



















