ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” หลังดอลลาร์อ่อนท่ามกลางข่าวลือว่า “ทรัมป์” ได้เตรียมปลดประธานเฟด จับตารายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.34-32.64 บาทต่อดอลลาร์) แม้จะมีจังหวะอ่อนค่าลงทะลุโซน 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงต่อเนื่องของราคาทองคำ
โดยเงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำก็พุ่งสูงขึ้น ท่ามกลางข่าวลือว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เตรียมปลดประธานเฟด Jerome Powell ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลจากประเด็นดังกล่าว หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์สูงขึ้นบ้าง ส่วนราคาทองคำก็ย่อตัวลงเกือบถึงระดับก่อนรับรู้ข่าวลือปลดประธานเฟดดังกล่าว
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทการเงินขนาดใหญ่ รายงานผลประกอบการที่สดใส ทว่า บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ถูกกดดันจากประเด็นข่าวลือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell แม้ว่าในภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.32%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.57% กดดันโดยความกังวลจากข่าวลือว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการปรับตัวลงหนักของ ASML -11.4% และบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor หลัง ASML ระบุว่า รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตลดลง
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนใกล้โซน 4.50% ท่ามกลางความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อข่าวลือว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell ซึ่งกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 4.47% อีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว
ทั้งนี้เราคงมุมมองเดิมว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯในช่วงนี้ ได้ทำให้บอนด์ระยะยาวสหรัฐฯมีความน่าสนใจมากขึ้น และเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ตามความกังวลว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell ก่อนที่เงินดอลลาร์จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.8-98.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความกังวลต่อประเด็นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell ก็มีส่วนทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.2025) พุ่งสูงขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น ก่อนที่จะย่อตัวลงสู่โซน 3,340-3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อประเด็นดังกล่าวลงบ้าง
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงรายงานดัชนีภาคธุรกิจโดย Philadelphia Fed ในเดือนกรกฎาคม และรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดมีโอกาสราว 84% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และเฟดมีโอกาสราว 40% ในการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้งในปีหน้า
ทางฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานอังกฤษ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้างในเดือนมิถุนายน รวมถึงยอดการจ้างงานและอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) หลังล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE ในเดือนสิงหาคมลงบ้าง (จากเกือบ 100% เป็น 85%) แต่โดยรวมยังคงมองว่า BOE มีโอกาสลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ในช่วงราว 6.30 น. ของเช้าวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน หลังในช่วงที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงมองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งในปีนี้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ อย่าง TSMC และ Netflix ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินในช่วงระยะสั้นได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้ในช่วงนี้ ตามจังหวะการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากทั้งการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์จะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่างยอดค้าปลีก (Retail Sales) ที่จะรับรู้ในช่วงคืนวันพฤหัสฯนี้
โดยหากรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้เงินดอลลาร์มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ ทว่าการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาด อาจรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดอาจยังมีความกังวลต่อประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับประธานเฟด หลังมีข่าวลือว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีคำสั่งปลดประธานเฟด Jerome Powell แม้ในภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือดังกล่าวก็ตาม
นอกจากนี้มองว่า ราคาทองคำก็มีโอกาสทยอยรีบาวด์สูงขึ้นได้ไม่ยาก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯกับประธานเฟด ทำให้แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้างจากเงินดอลลาร์ แต่หากราคาทองคำยังคงทรงตัวในกรอบ Sideways หรือปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ก็จะช่วยชะลอการอ่อนค่าดังกล่าว ทำให้โดยรวม เงินบาท (USDTHB) อาจยังติดโซนแนวต้านแถว 32.60-32.70 บาทต่อดอลลาร์ไปก่อน แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.70 บาทต่อดอลลาร์ได้อย่างชัดเจน เราถึงจะกลับมามั่นใจว่า เงินบาทได้กลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend Following
อนึ่งขอย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในคืนนี้ เนื่องจากสถิติย้อนหลัง 1 ปี สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนในกรอบ +/- 1 SD ราว +0.3%/-0.2% ซึ่งยังคงมีความกังวลเดิม คือความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.65 บาทต่อดอลลาร์.



















