“อรมน” เผยสถิติขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย 69,109 คำขอ เพิ่มขึ้นประมาณ 8% เครื่องหมายการค้าพุ่งยื่นคำขอ 51,260 คำขอ โดยนวัตกรรม-ผลงานสร้างสรรค์โตแรงต่อเนื่อง “ป๊อป มาร์ท” ยื่นคำขอจดเครื่องหมายการค้ามากสุด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยถึงสถิติการยื่นคำขอจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทย ในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค.-พ.ย.) มีการยื่นคำขอจดทะเบียนสูงถึง 69,109 คำขอ เพิ่มขึ้นประมาณ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 อยู่ที่ 63,992 คำขอ และมีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ 12,890 รายการ ลดลง 10.92% จากปี 2567 อยู่ที่ 14,470 รายการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.เครื่องหมายการค้า มีการยื่นคำขอ 51,260 คำขอ เพิ่มขึ้น 7.33% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (47,758 คำขอ) สำหรับกลุ่มสินค้าที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองเครื่องหมายการค้ามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บริการด้านการขายและการตลาด (6,355 คำขอ) ยังคงครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง สะท้อนธุรกิจการขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เติบโต รองลงมาคือ สินค้าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและความงาม (6,290 คำขอ) ผลิตภัณฑ์
เพื่อสุขภาพอนามัย (5,450 คำขอ) สะท้อนเทรนด์การค้าที่มุ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งให้ความสำคัญเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น ตามมาด้วย เครื่องมือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (5,399 คำขอ) และผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย (3,830 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอเครื่องหมายการค้า คนไทย 52% และต่างชาติ 48%
สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ป๊อป มาร์ท (สิงคโปร์) โฮลดิ้ง พีทีอี.แอลทีดี (236 คำขอ) สะท้อนกระแสความนิยมของสินค้าอาร์ตทอยที่ยังคงแรงไม่ตกในไทย รองลงมาคือบริษัท เดอะ เกรท ไอเดีย จำกัด ในกลุ่มสินค้างานกราฟิก (108 คำขอ) บริษัท คอสมี่ จำกัด ในกลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์ (103 คำขอ) เอ็มซี โอ (ไอพี) โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ในกลุ่มสินค้า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (92 คำขอ) และเอสเอ็ม เอนเตอร์เทนเมนท์ โค.,แอลทีดี ในกลุ่มสินค้าคาแรคเตอร์ (78 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 37,567 เครื่องหมาย เพิ่มขึ้น 41.52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (26,545 เครื่องหมาย)
2. สิทธิบัตรการประดิษฐ์ มีการยื่นคำขอ 7,586 คำขอ เพิ่มขึ้น 2.32% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (7,414 คำขอ) สำหรับนวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ นวัตกรรมด้านการสื่อสาร เช่น ระบบสื่อสารและอุปกรณ์ส่งสัญญาณ เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ระบบรับ–ส่งข้อมูลความเร็วสูง และอุปกรณ์สื่อสารอัจฉริยะ (209 คำขอ) พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการ
ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น รองลงมาคือ วัสดุเหล็กกล้า เช่น เหล็กกล้าที่มีความแข็งแกร่งสูงระดับพิเศษ เหล็กกล้าทนการสึกหรอ เหล็กกล้าทนความร้อน และเหล็กกล้าสำหรับงานโครงสร้างที่ต้องรับแรงสูง (188 คำขอ) แสดงถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมวัสดุและการก่อสร้าง
ส่วนนวัตกรรมแอนติบอดี้และยาชีววัตถุ เช่น แอนติบอดีเชิงรักษา วัคซีนชีววัตถุ และผลิตภัณฑ์ชีวเภสัชภัณฑ์ (165 คำขอ) ซึ่งสะท้อนความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีชีวภาพและการวิจัยยา ถัดมาคือ ยาเคมีและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ยาเคมีสังเคราะห์ ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ (151 คำขอ) สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมด้านสุขภาพยังคงเป็นหนึ่งในสาขานวัตกรรมสำคัญ และนวัตกรรมแบตเตอรีและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น แบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง และระบบกักเก็บพลังงาน (125 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 4,914 ฉบับ
3. สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีการยื่นคำขอ 5,758 คำขอ เพิ่มขึ้น 15.65% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (4,979 คำขอ) สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ลวดลายผ้า (883 คำขอ) ยังคงนำโด่ง ซึ่งผู้ยื่นคำขอส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยถึงกว่า 90% ตามด้วย รถยนต์ (573 คำขอ) บรรจุภัณฑ์ (512 คำขอ) เครื่องประดับ (390 คำขอ) และเฟอร์นิเจอร์ (331 คำขอ) โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ คนไทย 66% และต่างชาติ 34% สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (300 คำขอ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (189 คำขอ) มหาวิทยาลัยศิลปากร (157 คำขอ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (126 คำขอ) และบริษัท อาร์เอช ยูเอส, แอลแอลซี(66 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่4,607 ฉบับ
4. อนุสิทธิบัตร มีการยื่นคำขอ 4,505 คำขอ เพิ่มขึ้น 17.29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (3,841 คำขอ) สำหรับนวัตกรรมที่มีการยื่นขอรับความคุ้มครองอนุสิทธิบัตรมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม (582 คำขอ) ยังครองอันดับ 1 แบบทิ้งห่าง ตามมาด้วย ยาสมุนไพร (297 คำขอ) สะท้อนความสนใจด้านสุขภาพและการนำองค์ความรู้ด้านยาไทยแบบดั้งเดิมมาพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย (90 คำขอ) ชุดทดสอบหรือชุดตรวจวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับสารพันธุกรรม (82 คำขอ) และสารกำจัดศัตรูพืช กำจัดแมลง ที่ก้าวขึ้นมาติดอันดับ 5 ได้สำเร็จ (80 คำขอ)
โดยมีสัดส่วนผู้ยื่นคำขออนุสิทธิบัตร เป็นคนไทย 91% และต่างชาติ 9% สำหรับผู้ยื่นคำขอมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (147 คำขอ) รองลงมาคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (123 คำขอ) ขยับขึ้นมา 1 อันดับจากช่วง 10 เดือนแรกปี 68 ตามด้วย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (119 คำขอ) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (95 คำขอ) และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (94 คำขอ) ทั้งนี้ ตัวเลขการจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1,871 ฉบับ
5. ลิขสิทธิ์ มีการยื่นแจ้งข้อมูล 12,890 ผลงาน ลดลง 10.92% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2567 (14,470 ผลงาน) ผลงานที่มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ศิลปกรรม (จิตรกรรม ประติมากรรมภาพพิมพ์ ฯลฯ) 4,427 ผลงาน วรรณกรรม (งานนิพนธ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์) 4,114 ผลงาน ดนตรีกรรม 2,821 ผลงาน โสตทัศนวัสดุ (ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์) 893 ผลงาน และสิ่งบันทึกเสียง 307 ผลงาน ทั้งนี้ สัดส่วนผู้ยื่นแจ้งข้อมูลผลงานลิขสิทธิ์ เป็นคนไทย 99% และต่างชาติ 1% สำหรับผู้ยื่นแจ้งข้อมูลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล (346 ผลงาน) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (313 ผลงาน)
บริษัท พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จำกัด พุ่งขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 จากเดิมที่ไม่ติด 5 อันดับแรกในช่วง 10 เดือนของปี 68 (180 คำขอ) บริษัท ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (179 ผลงาน) และบริษัท สรีทสิสร์ จำกัด (130 ผลงาน) อย่างไรก็ดี ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับความคุ้มครองทันทีที่สร้างสรรค์ โดยไม่ต้องยื่นจดทะเบียนกับกรม สถิติดังกล่าวจึงไม่สามารถสะท้อนภาพรวมของงานสร้างสรรค์ไทยได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี กรมจะเดินหน้าส่งเสริมให้ศิลปินนักสร้างสรรค์เห็นความสำคัญของการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์กับกรมเพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงเบื้องต้นในการแสดงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในกรณีที่เกิดข้อพิพาท รวมทั้งเป็นช่องทางให้ผู้อื่นสามารถเข้าถึงผลงานและติดต่อขอใช้ประโยชน์งานลิขสิทธิ์นั้นได้ง่ายขึ้น
ส่วนการพัฒนางานบริการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ ยังเป็นภารกิจสำคัญที่กรมมุ่งมั่นพัฒนาต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยในการสืบค้นข้อมูลเครื่อง หมายการค้าและสิ่งประดิษฐ์ ตลอดจนจัดให้มีช่องทางเร่งรัด (Fast Track) ที่สามารถจดทะเบียนได้รวดเร็วขึ้น สำหรับสาขาที่เป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตและที่ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องใช้อย่างเร่งด่วน ได้แก่ 1. สิทธิบัตรการประดิษฐ์/อนุสิทธิบัตร ใน 3 นวัตกรรม คือ นวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุข นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต และนวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยสิทธิบัตรการประดิษฐ์ ลดระยะเวลาจดทะเบียน จาก 38.5 เดือน นับจากวันยื่นให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ เหลือ 12 เดือน และอนุสิทธิบัตร จาก 12 เดือน นับจากวันที่เข้าร่วมโครงการ เหลือ 6 เดือน
2. สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ในสาขานวัตกรรมรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดระยะเวลาจดทะเบียนจาก 10 เดือน นับจากวันที่เข้าร่วมโครงการ เหลือ 3 เดือน และ 3. เครื่องหมายการค้า ในกรณีที่ต้องนำหลักฐานการจดทะเบียนไปแสดงต่อหน่วยงานราชการอื่น โดยลดระยะเวลาจดทะเบียนจาก 10.5 เดือน นับจากวันยื่นคำขอ เหลือ 3 เดือน พร้อมมีแผนจะขยายช่องทาง Fast Track ในสาขานวัตกรรมและสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป



















