รมว.กลาโหมระบุการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 คน ขึ้นกับการปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีผลตั้งแต่การประชุมและถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) เมื่อ 10 ก.ย. โดยเฉพาะมาตรการถอนอาวุธหนักและการเก็บกู้ทุ่นระเบิดซึ่งต้องเห็นเป็นรูปธรรมก่อน.
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 7 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 คน ว่า เรื่องนี้เป็นผลต่อเนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ภายหลังนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) กับฝ่ายกัมพูชาและประเทศพยาน โดยเน้นให้ปล่อยเชลยศึกด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม แต่ฝ่ายไทยได้ต่อรองให้ปฏิบัติตามข้อตกลงทั้ง 4 ข้อให้เห็นเป็นรูปธรรมก่อน
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คำว่า “รูปธรรม” ในที่นี้หมายถึงการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายกัมพูชา ว่ามีความตั้งใจปฏิบัติตามข้อตกลงจริง ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างต้องเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทันที ภายหลังนายกรัฐมนตรีลงนามแล้ว จึงมอบหมายให้กองทัพเป็นผู้ไปพูดคุยต่อ ซึ่งขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานคณะกรรมการร่วม มีตัวแทนจากเหล่าทัพ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมดำเนินการ
ในที่ประชุมล่าสุดได้ข้อสรุปว่า การถอนอาวุธหนักและการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องเห็นผลชัดเจน โดยกำหนดให้ดำเนินการให้เสร็จในเฟสแรกก่อน จากเดิมที่ไทยเสนอให้เก็บกู้ทุ่นระเบิด 13 พื้นที่ แต่ภายหลังการเจรจาได้ตกลงลดเหลือ 5 พื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชายอมให้ไทยเข้าไปดำเนินการได้ ถือเป็นความคืบหน้าเชิงบวก
ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการปล่อยเชลยศึกในวันที่ 12 พฤศจิกายน พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น เพราะไทยจะพิจารณาตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ หากในเฟสแรกยังไม่สามารถถอนอาวุธหรือเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้ครบตามตกลง ก็จะยังไม่ดำเนินการปล่อยเชลยศึก โดยเบื้องต้นกำหนดให้เฟสแรกสิ้นสุดวันที่ 21 พฤศจิกายน แต่ทางกัมพูชาระบุว่าจะทำให้เร็วขึ้นอยู่ในช่วงวันที่ 10–12 พฤศจิกายน
สำหรับกรณีพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว พล.อ.ณัฐพล เปิดเผยว่า ขั้นแรกจะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวที่จะใช้ปักหมุดชั่วคราว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน จากนั้นกรมแผนที่ทหารจะเริ่มปักหมุดตามแนวที่ตกลงไว้เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งจะมีทั้งแนวที่ไทยยึดถือและแนวที่กัมพูชาอ้าง
รมว.กลาโหม กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างมีวุฒิภาวะและเป็นอารยะประเทศ พร้อมขอความร่วมมือสื่อมวลชนช่วยอธิบายให้ประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นของการดำเนินการอย่างรอบคอบ “ตราบใดที่ผมยังอยู่ตรงนี้ เรื่องอธิปไตยของชาติจะต้องยึดมั่นแน่นอน เราทำตามขั้นตอนที่ประเทศอารยะเขาปฏิบัติกัน” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีปราสาทตาควายและพื้นที่ใกล้เคียง พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ขอให้ดำเนินการ 5 เรื่องสำคัญให้เรียบร้อยก่อน โดยเพิ่มเรื่อง “แนวรั้ว” เข้ามาเป็นข้อที่ 5 จากนั้นจึงจะดำเนินการเก็บรายละเอียดในพื้นที่อื่น เช่น ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา และทางชำราก ซึ่งเป็นประเด็นที่สั่งสมมานานกว่า 15 ปีตั้งแต่กรณีเขาพระวิหาร พร้อมยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมจะค่อย ๆ แก้ไขอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลถาวรและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
รมว.กลาโหมกล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้ไทยยังไม่แตะมาตรการเปิดด่านชายแดน จนกว่าทั้ง 5 เงื่อนไขจะบรรลุผลอย่างสมบูรณ์ พร้อมย้ำว่า หากทุกข้อสำเร็จเป็นรูปธรรมแล้ว ไทยพร้อมดำเนินการปล่อยเชลยศึกตามถ้อยแถลงที่นายกรัฐมนตรีได้ลงนามไว้





































