คลังเตรียมชงแผนการคลังระยะปานกลางเข้าครม.สัปดาห์หน้า วางกรอบลดขาดดุลต่ำกว่า 3% ภายในปี 72 สร้างความเชื่อมั่นด้านวินัยการคลัง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework หรือ MTFF) ซึ่งจะนำเสนอ ครม. 18 พ.ย.68 นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านวินัยการคลัง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การปรับลดดุลการคลังให้ขาดดุลไม่เกิน 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในปี 2572
โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งประกอบด้วย 4 หน่วยงานเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ร่วมประชุมและกลั่นกรองแผนดังกล่าว โดยการจัดทำแผนการคลังครั้งนี้มีหัวใจสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับฐานะทางการคลังของประเทศ
โดยรัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการรักษาวินัยทางการคลัง ภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก ในการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ เนื่องจากในปีนี้ประเทศไทยถูกบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) ปรับลดมุมมอง (Outlook) จากระดับมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นมุมมองเชิงลบ (Negative) ถึง 2 แห่ง ได้แก่ ฟิทช์ เรทติ้งส์ และมูดีส์
โดยแผน MTFF นี้จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นด้านวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือ ว่าประเทศไทยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการปรับลดการขาดดุลการคลังสู่ระดับมาตรฐาน คือ การขาดดุลไม่เกิน 3% GDP ให้ได้ภายในปี 2572 และเพื่อรักษาเสถียรภาพการคลัง คณะกรรมการฯ ยืนยันที่จะไม่ขยายเพดานหนี้สาธารณะ โดยจะยังคงยืนยันรักษาวินัยการคลังให้หนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกิน 70% ของ GDP
โดยการวางกรอบ MTFF นี้จะกำหนดให้มีการลดการขาดดุลลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนเหลือต่ำกว่า 3% ภายในปี 2572 รวมถึงกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2570 ที่จะมีการขาดดุลลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีงบประมาณปัจจุบันเช่นกัน จากปัจจุบันในพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 มีสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อ GDP อยู่ที่ 4.4%
แผนการคลังระยะปานกลางนี้จะส่งสัญญาณความมุ่งมั่นด้านวินัยการคลังผ่าน 3 แนวทางหลัก ประกอบด้วย
1.กำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลัง จะมีแนวทางให้ชัดเจน และเป็นรูปธรรม ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย หนี้สิน และทรัพย์สิน
2.ปรับปรุง และเพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง เพื่อยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลัง เช่น จะมีการรายงานรายได้ที่สูญเสียไปจากสิทธิประโยชน์ และมาตรการทางภาษีต่างๆ (Tax Expenditure) ซึ่งรวมถึงมาตรการให้สิทธิโยชน์ทางภาษีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ด้วย
3.วางแนวทางกำกับมาตรการกึ่งการคลัง เพื่อเพิ่มความชัดเจนในการจัดการภาระการคลังที่เกิดจากมาตรการกึ่งการคลัง ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ปัจจุบันมีการใช้กรอบวินัยการคลังที่ 32% แต่จะเน้นความเข้มงวดในกระบวนการอนุมัติให้รอบคอบยิ่งขึ้น โดยจะอ้างอิงกระบวนการที่ชัดเจนเหมือนการพิจารณางบกลาง
ขณะเดียวกันคณะกรรมการฯ ยังได้ปรับปรุงกฎเกณฑ์ทางด้านการคลังเพื่อเพิ่มความเข้มงวด โดยไม่ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง แต่เป็นการกำหนดกฎกติกาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น สัดส่วนงบกลาง จะบีบให้แคบลงจากกรอบเดิม 2-3.5% เหลือ 2-3% การชำระต้นเงินกู้ จะกำหนดให้ชำระต้นเงินกู้ ไม่น้อยกว่า 4% จากเดิมที่มีกรอบ 2.5-5% การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตามมาตรา 42 พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ โดยจะลดสัดส่วนของการก่อหนี้ผูกพันที่เกินกว่าหรือนอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณ จากกรอบเดิม 8% ลงเหลือ 5%
สำหรับการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง และการลดขาดดุลนี้ จะไม่กระทบต่องบประมาณการลงทุน ประเทศไทยจะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยใช้เครื่องมือทางการคลังที่ไม่ก่อให้เกิดภาระหนี้สาธารณะ เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund – TFF) และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน (Public Private Partnership – PPP) เพื่อเพิ่มการลงทุนในระยะยาว
ส่วนในประเด็นที่ว่าแผนการคลังระยะปานกลางนี้อาจถูกปรับเปลี่ยนโดยรัฐบาลชุดใหม่หรือไม่ คณะกรรมการฯ ได้เน้นเรื่องการสร้างความเชื่อมั่น โดยจะมีการเขียนกรอบไว้ในแผน MTFF ว่า หากรัฐบาลใดที่ทำงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมายการขาดดุล 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ก็จะต้องมีมาตรการชดเชย เช่น การเพิ่มรายได้ หรือลดรายจ่าย






































